รายงานข่าวแจ้งว่า ในโลกออนไลน์มีการแชร์เรื่องราวของฮีโร่ที่ช่วยชีวิตประชาชนและนักท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตให้รอดพ้นจากเหตุระเบิดที่คนร้ายนำมาซุกซ่อนในร้านขายผ้าแห่งหนึ่งที่ศูนย์การค้าไชน่าทาวน์ หาดป่าตอง จ.ภูเก็ตเมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา
โดยเฟซบุ๊กชื่อ Dhammatuch Jumpa ได้มีการแชร์ข้อความที่น่าชื่นชมของฮีโร่เป็นผู้นำถุงใส่โทรศัพท์มือถือที่ต่อวงจรระเบิดเอาออกไปทิ้งและเรียกตำรวจ ทราบชื่อว่านายกำธร เกตุแก้ว เป็นเจ้าที่รักษาความปลอดภัย ประจำศูนย์การค้าไชน่าทาวน์
"ฮีโร่ที่ตำรวจไทยแกล้งลืม" นี้คือลุงกำธร เกตุแก้ว ชาวอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ มีอาชีพเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำศูนย์การค้าไชน่าทาวน์ หาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต เรื่องราวมีอยู่ประมาณว่า เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2559 เวลาประมาณ 18.40 น. มีชายต้องสงสัยสองคนทำทีมาซื้อเสื้อผ้าในร้านผ้าของไชน่าทาวน์ แต่ไม่ได้ซื้อสิ่งใดไป และได้ทิ้งถุงที่ใส่โทรศัพท์มือถือที่มีผ้าห่ออะไรบางอย่างพันกับมือถือและสายไฟหลายสายต่อกับมือถือ ทางพนักงานขายชายซึ่งเป็นชาวเนปาล (ถ้าจำไม่ผิด) ได้แจ้งให้ลุงกำธรมาดูถุงดังกล่าว เพราะสงสัยว่าอาจจะเป็นสิ่งที่เป็นอันตราย ลุงกำธรเห็นถุงใส่โทรศัพท์ดังกล่าวตามลักษณะที่กล่าวมาข้างต้น ลุงกำธรคิดว่าน่าจะเป็นระเบิดของผู้ไม่ประสงค์ดี ลุงกำธรจึงนำถังน้ำมาแล้วจับโทรศัพท์มือถือพร้อมสิ่งพันธนาการเครื่องนั่นใส่ลงในถังน้ำ แล้วพาวิ่งไปที่ลานจอดรถของศูนย์การค้าที่อยู่ห่างไปประมาณ 50-60 เมตร ซึ่งเป็นที่โล่ง
ด้วยลุงกำธรคิดว่าถ้าเป็นระเบิดจริง จะทำให้มีคนตายมากมายซึ่งรวมไปถึงพ่อค้าแม่ค้า คนไทย และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่อยู่ในบริเวณนั้นด้วย ลุงกำธรคิดอย่างเดียวว่า ให้ตัวเองตายคนเดียวดีกว่าให้คนอื่นตาย คิดได้ดังนั้นลุงกำธรจึงตัดสินใจนำถังน้ำที่ใส่โทรศัพท์มือถือที่คิดว่าติดระเบิดนำวิ่งไปตั้งไว้ที่ลานจอดรถให้ห่างฝูงชน แล้วลุงกำธรก็ได้แจ้งหัวหน้าให้ทราบเป็นการเร่งด่วน ทางหัวหน้าลุงกำธรได้โทรแจ้งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที ไม่นานทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุ แล้วหลังจากนั้นเรื่องราวก็เงียบหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความดีและความเป็นฮีโร่ของลุงกำธรก็พลอยเงียบหายไปด้วย เรื่องราวของฮีโร่คุณลุงท่านนี้ก็มีเพียงเท่านี้ นี่ไงคือเรื่องราวของฮีโร่ที่ตำรวจไทยแกล้งลืม .. ขอคารวะลุงกำธรจากใจจริงครับ
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการโพสต์ภาพและข้อความของลุงกำธร เกตุแก้ว ออกไปในโลกโซเชียลฯมีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ชื่นชมลุงกำธรที่กล้าหาญและยอมเสียสละเพื่อสังคม
ด้านน.ส.เฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ นายกเทศมนตรีเมืองป่าตอง พร้อมด้วยคณะผู้บริหารได้เดินทางไปยังศูนย์การค้าไชน่าทาวน์พลาซ่าซึ่งเป็นจุดที่คนร้ายนำวัตถุต้องสงสัยหรือระเบิดเพลิงไปวางไว้ในร้านจำหน่ายเสื้อผ้า เพื่อมอบเงินรางวัลให้กั นายกำธร เกตแก้ว เจ้าหน้าที่รปภ. ชาว จ.กระบี่ รวมทั้งนางสาวสีตลาตัน มาลาทอง คนดูแลร้าน และพนักงานชาวเนปาล ที่ช่วยกันสังเกตจนพบวัตถุต้องสงสัย และนำไปทิ้งในถังน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุระเบิดขึ้น
ทั้งนี้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา คนร้ายได้ทำทีเข้าไปซื้อของที่ร้านจำหน่ายเสื้อผ้าและนำวัตถุต้องสงสัยไปวางไว้ในร้านแต่โชคดีที่คนดูแลร้านเห็นผิดสังเกตจึงเข้าตรวจสอบเมื่อพบว่าภายในมีทั้งโทรศัพท์และสายไฟไม้ขีดไฟและเหล้าแห้งบรรจุอยู่จึงตัดสินใจให้เด็กในร้านนำไปทิ้งในถังน้ำที่บริเวณหน้าร้านขณะที่รปภ.ซึ่งอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุได้เข้าไปตรวจสอบเมื่อพบว่ามีการต่อวงจรคล้ายระเบิดจึงตัดสินใจอุ้มถังน้ำขนาด 20 ลิตร ไปทิ้งที่ลานจอดรถก่อนแจ้งตำรวจตรวจสอบ
นางสาวสีตลาตัน มาลาทอง ผู้ดูแลร้าน กล่าวเปิดใจ ถึงนาทีพบวัตถุต้องสงสัยมีการต่อวงจรไว้แล้วว่า ก่อนเกิดเหตุมีผู้ชาย 2 คน แต่งตัวสวมหมวกปิดบังใบหน้า และสวมแมทรวมทั้งสวมถุงมือเดินเข้ามาหาซื้อเสื้อผ้าในร้านเพื่อซื้อเสื้อโดยมีชายสวมเสื้อแดงเดินไปหาซื้อเสื้อส่วนชายสวมเสื้อแขนยาวเดินเข้าไปในร้าน คิดว่าเข้าไปเลือกเสื้อตามปกติ แต่หลังจากนั้นตนสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าวางไม่เรียบร้อยจึงเข้าไปจัด ขณะที่กำลังจัดเสื้อผ้าเห็นถุงใส่โทรศัพท์วางอยู่และมีการนำเสื้อผ้ามาวางทับไว้ ตอนแรกคิดว่าเป็นโทรศัพท์ของน้องพนักงาน จึงเปิดดูหลังจากชาย 2 คน ที่ทำทีมาซื้อเสื้อผ้าเดินออกจากร้าน ได้ถามพนักงานทางพนักงานยืนยันว่าไม่ใช่โทรศัพท์ของตัวเอง
ดังนั้นจึงตัดสินใจเปิดถุงออกดู แต่ต้องตกตะลึงเพราะสิ่งที่เห็นเชื่อได้ว่าน่าจะเป็นระเบิด เพราะภายในกล่องมีทั้งโทรศัพท์มือถือสายไฟที่ต่อพ่วงกับพาวเวอร์แบงค์ เหล้าแห้งลักษณะเป็นเจลและไม้ขีดไฟเมื่อเห็นดังนั้นคิดว่าเป็นระเบิดอย่างแน่นอนจึงตัดสินใจให้พนักงานนำไปทิ้งในถังน้ำที่อยู่หน้าร้าน เนื่องจากคิดว่าน้ำจะช่วยตัดวงจรไฟฟ้าที่ต่อไว้ทำให้ระเบิดไม่ทำงานได้
หลังจากนั้นมีคนมาหยิบดูเห็นไฟกระพริบๆจึงได้เรียกรปภ.เข้ามาตรวจสอบ ซึ่งตนทราบเพียงว่ามีการยกออกไปด้านนอกแต่ไม่ได้ตามไปดู
ขณะที่นายกำธร เกตุแก้ว รปภ.ซึ่งตัดสินใจอุ้มถังน้ำที่มีระเบิดอยู่ภายในถังไปวางที่ลานจอดรถห่างจากจุดที่พบประมาณ 800 เมตร เล่าถึงนาทีระทึกว่าตอนนั้นกำลังจะกลับบ้านพักที่วิชิต เนื่องจากเลิกงานแล้ว แต่มีคนเรียกว่ามีระเบิดจึงเข้าไปดูเมื่อเห็นวัตถุที่ใส่อยู่ในถังน้ำตัดสินใจในวินาทีนั้นเลยว่าตายเป็นตาย และอุ้มถังน้ำขนาดใหญ่ที่ภายในมีระเบิดออกจากจุดที่เกิดเหตุ ซึ่งขณะอุ้มไปคิดว่าตายคนเดียวดีกว่าที่จะให้คนส่วนใหญ่ซึ่งมีทั้งนักท่องเที่ยวและพนักงานขายของในพื้นที่ดังกล่าวซึ่งอยู่กันเป็นจำนวนมากมาตายไปด้วยกัน โชคดีที่ไม่ระเบิดขึ้นซึ่งตนทำไปไม่ได้หวังอะไรเพียงแต่ต้องการให้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นรอดเท่านั้นถ้าเกิดเหตุระเบิดขึ้นส่วนตนยอมตายคนเดียวแต่ตายให้มีศักดิ์ศรีตายอย่างมีคุณค่าจึงตัดสินใจทำไปแต่พอมานึกถึงตอนนี้รู้สึกกลัวเหมือนกันแต่ดีใจที่วันนั้นระเบิดไม่ทำงาน
ด้านนายปรีชาวุฒิ กี่สิ้น ผู้บริหารบริษัท พิโซน่า กรุ๊ป จำกัด นักธุรกิจโรงแรมและสถานบันเทิงชื่อดังในหาดป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต เผยว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ถ้าไม่ได้คุณลุง รปภ.คนนั้น บริเวณดังกล่าว อาจเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นเหมือนกับในหลายจังหวัด เรื่องนี้จึงน่าชมเชยและยกย่องคุณงามความดีของคนทำดี บริษัทจึงมอบเงินรางวัลจำนวน 50,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับคนทำดี
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังนำภาพสเก็ตคนร้ายที่คาดว่าจะเป็นนำระเบิดไปวางที่ในพื้นที่ จ.ภูเก็ตแจกจ่ายไปยังประชาชนและตามห้างร้านต่างๆพร้อมทั้งสื่อมวลชนแขนงต่างๆและหากพบเห็นโทร.แจ้งเบาะแสได้ที่เบอร์191ทันที ซึ่งจะมีภาคเอกชนมอบรางวัลนำจับให้1แสนบาททันกรณีที่นำไปจับกุมตัวได้
โดยเฟซบุ๊กชื่อ Dhammatuch Jumpa ได้มีการแชร์ข้อความที่น่าชื่นชมของฮีโร่เป็นผู้นำถุงใส่โทรศัพท์มือถือที่ต่อวงจรระเบิดเอาออกไปทิ้งและเรียกตำรวจ ทราบชื่อว่านายกำธร เกตุแก้ว เป็นเจ้าที่รักษาความปลอดภัย ประจำศูนย์การค้าไชน่าทาวน์
"ฮีโร่ที่ตำรวจไทยแกล้งลืม" นี้คือลุงกำธร เกตุแก้ว ชาวอำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ มีอาชีพเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำศูนย์การค้าไชน่าทาวน์ หาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต เรื่องราวมีอยู่ประมาณว่า เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2559 เวลาประมาณ 18.40 น. มีชายต้องสงสัยสองคนทำทีมาซื้อเสื้อผ้าในร้านผ้าของไชน่าทาวน์ แต่ไม่ได้ซื้อสิ่งใดไป และได้ทิ้งถุงที่ใส่โทรศัพท์มือถือที่มีผ้าห่ออะไรบางอย่างพันกับมือถือและสายไฟหลายสายต่อกับมือถือ ทางพนักงานขายชายซึ่งเป็นชาวเนปาล (ถ้าจำไม่ผิด) ได้แจ้งให้ลุงกำธรมาดูถุงดังกล่าว เพราะสงสัยว่าอาจจะเป็นสิ่งที่เป็นอันตราย ลุงกำธรเห็นถุงใส่โทรศัพท์ดังกล่าวตามลักษณะที่กล่าวมาข้างต้น ลุงกำธรคิดว่าน่าจะเป็นระเบิดของผู้ไม่ประสงค์ดี ลุงกำธรจึงนำถังน้ำมาแล้วจับโทรศัพท์มือถือพร้อมสิ่งพันธนาการเครื่องนั่นใส่ลงในถังน้ำ แล้วพาวิ่งไปที่ลานจอดรถของศูนย์การค้าที่อยู่ห่างไปประมาณ 50-60 เมตร ซึ่งเป็นที่โล่ง
ด้วยลุงกำธรคิดว่าถ้าเป็นระเบิดจริง จะทำให้มีคนตายมากมายซึ่งรวมไปถึงพ่อค้าแม่ค้า คนไทย และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่อยู่ในบริเวณนั้นด้วย ลุงกำธรคิดอย่างเดียวว่า ให้ตัวเองตายคนเดียวดีกว่าให้คนอื่นตาย คิดได้ดังนั้นลุงกำธรจึงตัดสินใจนำถังน้ำที่ใส่โทรศัพท์มือถือที่คิดว่าติดระเบิดนำวิ่งไปตั้งไว้ที่ลานจอดรถให้ห่างฝูงชน แล้วลุงกำธรก็ได้แจ้งหัวหน้าให้ทราบเป็นการเร่งด่วน ทางหัวหน้าลุงกำธรได้โทรแจ้งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที ไม่นานทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุ แล้วหลังจากนั้นเรื่องราวก็เงียบหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความดีและความเป็นฮีโร่ของลุงกำธรก็พลอยเงียบหายไปด้วย เรื่องราวของฮีโร่คุณลุงท่านนี้ก็มีเพียงเท่านี้ นี่ไงคือเรื่องราวของฮีโร่ที่ตำรวจไทยแกล้งลืม .. ขอคารวะลุงกำธรจากใจจริงครับ
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการโพสต์ภาพและข้อความของลุงกำธร เกตุแก้ว ออกไปในโลกโซเชียลฯมีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ชื่นชมลุงกำธรที่กล้าหาญและยอมเสียสละเพื่อสังคม
ด้านน.ส.เฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ นายกเทศมนตรีเมืองป่าตอง พร้อมด้วยคณะผู้บริหารได้เดินทางไปยังศูนย์การค้าไชน่าทาวน์พลาซ่าซึ่งเป็นจุดที่คนร้ายนำวัตถุต้องสงสัยหรือระเบิดเพลิงไปวางไว้ในร้านจำหน่ายเสื้อผ้า เพื่อมอบเงินรางวัลให้กั นายกำธร เกตแก้ว เจ้าหน้าที่รปภ. ชาว จ.กระบี่ รวมทั้งนางสาวสีตลาตัน มาลาทอง คนดูแลร้าน และพนักงานชาวเนปาล ที่ช่วยกันสังเกตจนพบวัตถุต้องสงสัย และนำไปทิ้งในถังน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุระเบิดขึ้น
ทั้งนี้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา คนร้ายได้ทำทีเข้าไปซื้อของที่ร้านจำหน่ายเสื้อผ้าและนำวัตถุต้องสงสัยไปวางไว้ในร้านแต่โชคดีที่คนดูแลร้านเห็นผิดสังเกตจึงเข้าตรวจสอบเมื่อพบว่าภายในมีทั้งโทรศัพท์และสายไฟไม้ขีดไฟและเหล้าแห้งบรรจุอยู่จึงตัดสินใจให้เด็กในร้านนำไปทิ้งในถังน้ำที่บริเวณหน้าร้านขณะที่รปภ.ซึ่งอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุได้เข้าไปตรวจสอบเมื่อพบว่ามีการต่อวงจรคล้ายระเบิดจึงตัดสินใจอุ้มถังน้ำขนาด 20 ลิตร ไปทิ้งที่ลานจอดรถก่อนแจ้งตำรวจตรวจสอบ
นางสาวสีตลาตัน มาลาทอง ผู้ดูแลร้าน กล่าวเปิดใจ ถึงนาทีพบวัตถุต้องสงสัยมีการต่อวงจรไว้แล้วว่า ก่อนเกิดเหตุมีผู้ชาย 2 คน แต่งตัวสวมหมวกปิดบังใบหน้า และสวมแมทรวมทั้งสวมถุงมือเดินเข้ามาหาซื้อเสื้อผ้าในร้านเพื่อซื้อเสื้อโดยมีชายสวมเสื้อแดงเดินไปหาซื้อเสื้อส่วนชายสวมเสื้อแขนยาวเดินเข้าไปในร้าน คิดว่าเข้าไปเลือกเสื้อตามปกติ แต่หลังจากนั้นตนสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าวางไม่เรียบร้อยจึงเข้าไปจัด ขณะที่กำลังจัดเสื้อผ้าเห็นถุงใส่โทรศัพท์วางอยู่และมีการนำเสื้อผ้ามาวางทับไว้ ตอนแรกคิดว่าเป็นโทรศัพท์ของน้องพนักงาน จึงเปิดดูหลังจากชาย 2 คน ที่ทำทีมาซื้อเสื้อผ้าเดินออกจากร้าน ได้ถามพนักงานทางพนักงานยืนยันว่าไม่ใช่โทรศัพท์ของตัวเอง
ดังนั้นจึงตัดสินใจเปิดถุงออกดู แต่ต้องตกตะลึงเพราะสิ่งที่เห็นเชื่อได้ว่าน่าจะเป็นระเบิด เพราะภายในกล่องมีทั้งโทรศัพท์มือถือสายไฟที่ต่อพ่วงกับพาวเวอร์แบงค์ เหล้าแห้งลักษณะเป็นเจลและไม้ขีดไฟเมื่อเห็นดังนั้นคิดว่าเป็นระเบิดอย่างแน่นอนจึงตัดสินใจให้พนักงานนำไปทิ้งในถังน้ำที่อยู่หน้าร้าน เนื่องจากคิดว่าน้ำจะช่วยตัดวงจรไฟฟ้าที่ต่อไว้ทำให้ระเบิดไม่ทำงานได้
หลังจากนั้นมีคนมาหยิบดูเห็นไฟกระพริบๆจึงได้เรียกรปภ.เข้ามาตรวจสอบ ซึ่งตนทราบเพียงว่ามีการยกออกไปด้านนอกแต่ไม่ได้ตามไปดู
ขณะที่นายกำธร เกตุแก้ว รปภ.ซึ่งตัดสินใจอุ้มถังน้ำที่มีระเบิดอยู่ภายในถังไปวางที่ลานจอดรถห่างจากจุดที่พบประมาณ 800 เมตร เล่าถึงนาทีระทึกว่าตอนนั้นกำลังจะกลับบ้านพักที่วิชิต เนื่องจากเลิกงานแล้ว แต่มีคนเรียกว่ามีระเบิดจึงเข้าไปดูเมื่อเห็นวัตถุที่ใส่อยู่ในถังน้ำตัดสินใจในวินาทีนั้นเลยว่าตายเป็นตาย และอุ้มถังน้ำขนาดใหญ่ที่ภายในมีระเบิดออกจากจุดที่เกิดเหตุ ซึ่งขณะอุ้มไปคิดว่าตายคนเดียวดีกว่าที่จะให้คนส่วนใหญ่ซึ่งมีทั้งนักท่องเที่ยวและพนักงานขายของในพื้นที่ดังกล่าวซึ่งอยู่กันเป็นจำนวนมากมาตายไปด้วยกัน โชคดีที่ไม่ระเบิดขึ้นซึ่งตนทำไปไม่ได้หวังอะไรเพียงแต่ต้องการให้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นรอดเท่านั้นถ้าเกิดเหตุระเบิดขึ้นส่วนตนยอมตายคนเดียวแต่ตายให้มีศักดิ์ศรีตายอย่างมีคุณค่าจึงตัดสินใจทำไปแต่พอมานึกถึงตอนนี้รู้สึกกลัวเหมือนกันแต่ดีใจที่วันนั้นระเบิดไม่ทำงาน
ด้านนายปรีชาวุฒิ กี่สิ้น ผู้บริหารบริษัท พิโซน่า กรุ๊ป จำกัด นักธุรกิจโรงแรมและสถานบันเทิงชื่อดังในหาดป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต เผยว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ถ้าไม่ได้คุณลุง รปภ.คนนั้น บริเวณดังกล่าว อาจเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นเหมือนกับในหลายจังหวัด เรื่องนี้จึงน่าชมเชยและยกย่องคุณงามความดีของคนทำดี บริษัทจึงมอบเงินรางวัลจำนวน 50,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับคนทำดี
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังนำภาพสเก็ตคนร้ายที่คาดว่าจะเป็นนำระเบิดไปวางที่ในพื้นที่ จ.ภูเก็ตแจกจ่ายไปยังประชาชนและตามห้างร้านต่างๆพร้อมทั้งสื่อมวลชนแขนงต่างๆและหากพบเห็นโทร.แจ้งเบาะแสได้ที่เบอร์191ทันที ซึ่งจะมีภาคเอกชนมอบรางวัลนำจับให้1แสนบาททันกรณีที่นำไปจับกุมตัวได้