เมื่อวานนี้ (10 ส.ค.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ(นปช.) กล่าวว่า ไม่เห็นประโยชน์ที่จะโต้เถียงกับนายกฯ ซึ่งยังยืนยันว่า กระบวนการประชามติเป็นไปตามหลักสากล เพราะปฏิกริยาจากทั่วโลกเป็นเครื่องตอกย้ำอยู่แล้วว่า เวทีสากลเขาไม่ได้เชื่ออย่างนั้น หลังจากนี้เป็นเรื่องโรดแมปซึ่งรัฐบาลประกาศจะทำตามสัญญา แต่ยังสงสัยว่า ปลายทางแท้จริงต้องดูที่วงใหญ่ของคสช.หรือดูที่หางเครื่องอย่างกรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน ซึ่งแถลงว่าจะตั้งพรรคการเมืองเพื่อผลักดันพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ คนนอก แม้นายกฯ ยังสงวนท่าที แต่ต้องไม่ลืมว่า ที่ผ่านมาภารกิจแบบมิสชั่นอิมพอสสิเบิลทั้งหลาย เช่น การขัดขวางการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชก็เริ่มต้นโดยคนกลุ่มนี้ อาจเป็นเพราะกำลังลำพองในผลประชามติจึงออกตัวเร็ว ไม่ต้องแคร์ความรู้สึกประชาชน
"ผมอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ตอบรับ แม้ยังไม่ประกาศวันนี้ก็ขอให้รับตำแหน่งเมื่อถึงเวลา เพราะในเมื่อแม่น้ำ 5 สายวิเคราะห์ว่ารัฐธรรมนูญผ่านเพราะคะแนนนิยมส่วนตัว พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นคนเดียวที่ควรนำพาบ้านเมืองผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านไปอีก 5 ปี ผู้นำแบบท่านเหมาะอย่างยิ่งที่จะอยู่ในกระบวนการตรวจสอบของระบบรัฐสภา"
ส่วนพรรคการเมืองไหนจะเป็นหุ้นส่วนยกมือให้สืบทอดอำนาจ ขอให้เตรียมการไว้ เพราะของแบบนี้คู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกันไป ส่วนพรรคเพื่อไทยที่ยืนยันหลักการประชาธิปไตยมาตลอดต้องพร้อมเป็นฝ่ายค้าน เมื่อมาถึงขั้นนี้ประเทศไทยจำเป็นต้องพิสูจน์ว่า เราจะเดินไปข้างหน้าได้จริงด้วยเผด็จการหรือประชาธิปไตย และยังต้องชัดเจนด้วยว่า นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งตรวจสอบได้ทุกแง่มุม กับพวกลากตั้งเข้ามานั้น ประชาชนควรไว้ใจใคร
อย่างไรก็ตามการเกิดขึ้นของพรรคประชาชนปฏิรูปไม่ใช่เรื่องใหม่ของฝ่ายเผด็จการ แต่ฝ่ายประชาธิปไตยจำเป็นต้องเกิดสิ่งใหม่คือ พรรคการเมืองที่เป็นหลักในการต่อสู้ร่วมกับประชาชนอย่างแท้จริง ถ้าพรรคเพื่อไทยตกผลึกและแสดงความจริงใจในเรื่องนี้ การเลือกตั้งครั้งถัดไป สิ่งที่เกิดขึ้นในพม่าก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าทุกพรรคแย่งกันเป็นหุ้นส่วนเผด็จการ ก็คงเป็นเรื่องน่าเศร้าไปอีกนานสำหรับสังคมไทย
"ผมอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ตอบรับ แม้ยังไม่ประกาศวันนี้ก็ขอให้รับตำแหน่งเมื่อถึงเวลา เพราะในเมื่อแม่น้ำ 5 สายวิเคราะห์ว่ารัฐธรรมนูญผ่านเพราะคะแนนนิยมส่วนตัว พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นคนเดียวที่ควรนำพาบ้านเมืองผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านไปอีก 5 ปี ผู้นำแบบท่านเหมาะอย่างยิ่งที่จะอยู่ในกระบวนการตรวจสอบของระบบรัฐสภา"
ส่วนพรรคการเมืองไหนจะเป็นหุ้นส่วนยกมือให้สืบทอดอำนาจ ขอให้เตรียมการไว้ เพราะของแบบนี้คู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกันไป ส่วนพรรคเพื่อไทยที่ยืนยันหลักการประชาธิปไตยมาตลอดต้องพร้อมเป็นฝ่ายค้าน เมื่อมาถึงขั้นนี้ประเทศไทยจำเป็นต้องพิสูจน์ว่า เราจะเดินไปข้างหน้าได้จริงด้วยเผด็จการหรือประชาธิปไตย และยังต้องชัดเจนด้วยว่า นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งตรวจสอบได้ทุกแง่มุม กับพวกลากตั้งเข้ามานั้น ประชาชนควรไว้ใจใคร
อย่างไรก็ตามการเกิดขึ้นของพรรคประชาชนปฏิรูปไม่ใช่เรื่องใหม่ของฝ่ายเผด็จการ แต่ฝ่ายประชาธิปไตยจำเป็นต้องเกิดสิ่งใหม่คือ พรรคการเมืองที่เป็นหลักในการต่อสู้ร่วมกับประชาชนอย่างแท้จริง ถ้าพรรคเพื่อไทยตกผลึกและแสดงความจริงใจในเรื่องนี้ การเลือกตั้งครั้งถัดไป สิ่งที่เกิดขึ้นในพม่าก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าทุกพรรคแย่งกันเป็นหุ้นส่วนเผด็จการ ก็คงเป็นเรื่องน่าเศร้าไปอีกนานสำหรับสังคมไทย