นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กระทรวงเตรียมเสนอแนวทางการจัดหางบประมาณในการจ่ายเบี้ยประกันสำหรับการทำประกันภัยนักท่องเที่ยว ให้คณะกรรมการนโยบายท่องเที่ยวแห่งชาติ (ททช.) พิจารณาในการประชุม ททช.วันที่ 11 ส.ค.นี้ เบื้องต้นได้ข้อสรุปที่จะนำงบประมาณที่ได้มาจากการเก็บค่าธรรมเนียมการทำวีซ่าของนักท่องเที่ยวต่างชาติมาใช้ โดยคาดว่าหลังได้ข้อสรุป กระทรวงจะเดินหน้าให้โครงการประกันภัยนักท่องเที่ยวใช้ได้ในปีงบประมาณ 60 หรือ ให้เร็วที่สุดคือ ในเดือน ต.ค.นี้ ทันที
สำหรับการจ่ายเบี้ยประกัน สมาคมประกันวินาศภัยได้นำเสนอแนวทางประกันภัยที่ให้ภาครัฐซื้อความคุ้มครองเป็นกรมธรรม์ใบเดียว ในอัตราเบี้ยประกันหัวละ 6 บาท คำนวณจากฐานนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมา 30 ล้านคนต่อปี
ดังนั้นเบี้ยประกันภัยนักท่องเที่ยวที่ต้องจ่ายต่อปีจะประมาณ 180 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันรายได้จากการเก็บค่าวีซ่าที่กระทรวงการต่างประเทศจะต้องส่งมอบให้กระทรวงการคลังประมาณ 11,000 ล้านบาทต่อปี กระทรวงจึงมองว่าจะเสนอให้นำรายได้จากส่วนดังกล่าวแบ่งมาใช้ในการจ่ายเบี้ยประกัน เพราะแนวทางที่เน้นย้ำมาโดยตลอด คือ จะต้องไม่ยุ่งเกี่ยว และไม่ใช่เงินภาษีอากรต่างๆมาแบกรับค่าใช้จ่าย แต่จะต้องเป็นเงินที่เกิดจากนักท่องเที่ยวที่ชำระมาเท่านั้น
ทั้งนี้จากการหารือกับกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการคลังพบว่า ตามกฎหมายเงินคงคลัง กระทรวงการคลังสามารถอนุญาตให้กระทรวงการต่างประเทศ ไม่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมการทำวีซ่าดังกล่าวนำส่งกระทรวงการคลังทั้งหมด หากงบประมาณที่จัดสรรไว้ เป็นการนำมาใช้ในโครงการทางเศรษฐกิจที่ทำรายได้เข้าสู่ประเทศได้ ซึ่งการท่องเที่ยวก็ตรงกับกฎเกณฑ์อยู่แล้ว เป็นกิจกรรมที่ทำให้เกิดรายได้จำนวนมากเข้าประเทศไทย
สำหรับการจ่ายเบี้ยประกัน สมาคมประกันวินาศภัยได้นำเสนอแนวทางประกันภัยที่ให้ภาครัฐซื้อความคุ้มครองเป็นกรมธรรม์ใบเดียว ในอัตราเบี้ยประกันหัวละ 6 บาท คำนวณจากฐานนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมา 30 ล้านคนต่อปี
ดังนั้นเบี้ยประกันภัยนักท่องเที่ยวที่ต้องจ่ายต่อปีจะประมาณ 180 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันรายได้จากการเก็บค่าวีซ่าที่กระทรวงการต่างประเทศจะต้องส่งมอบให้กระทรวงการคลังประมาณ 11,000 ล้านบาทต่อปี กระทรวงจึงมองว่าจะเสนอให้นำรายได้จากส่วนดังกล่าวแบ่งมาใช้ในการจ่ายเบี้ยประกัน เพราะแนวทางที่เน้นย้ำมาโดยตลอด คือ จะต้องไม่ยุ่งเกี่ยว และไม่ใช่เงินภาษีอากรต่างๆมาแบกรับค่าใช้จ่าย แต่จะต้องเป็นเงินที่เกิดจากนักท่องเที่ยวที่ชำระมาเท่านั้น
ทั้งนี้จากการหารือกับกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการคลังพบว่า ตามกฎหมายเงินคงคลัง กระทรวงการคลังสามารถอนุญาตให้กระทรวงการต่างประเทศ ไม่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมการทำวีซ่าดังกล่าวนำส่งกระทรวงการคลังทั้งหมด หากงบประมาณที่จัดสรรไว้ เป็นการนำมาใช้ในโครงการทางเศรษฐกิจที่ทำรายได้เข้าสู่ประเทศได้ ซึ่งการท่องเที่ยวก็ตรงกับกฎเกณฑ์อยู่แล้ว เป็นกิจกรรมที่ทำให้เกิดรายได้จำนวนมากเข้าประเทศไทย
