ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนวันพฤหัส (28 ก.ค.) หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานเพิ่มขึ้นมากเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว ประกอบกับบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ของสหรัฐได้เปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวัง ซึ่งรวมถึงฟอร์ด มอเตอร์ อย่างไรก็ตาม ดัชนี NASDAQ และ S&P 500 ปิดตลาดในแดนบวก เนื่องจากนักลงทุนขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทเฟซบุ๊ก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,456.35 จุด ลดลง 15.82 จุด หรือ -0.09% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,154.98 จุด เพิ่มขึ้น 15.17 จุด หรือ +0.30% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,170.06 จุด เพิ่มขึ้น 3.48 จุด หรือ +0.16%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดอ่อนแรงลง หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 14,000 ราย สู่ระดับ 266,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 23 ก.ค. โดยปรับตัวขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 260,000 ราย
นอกจากนี้ ดาวโจนส์ยังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ โดยฟอร์ด มอเตอร์ เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 1.97 พันล้านดอลลาร์ หรือ 49 เซนต์/หุ้น และหากไม่นับรวมรายการพิเศษ ทางบริษัทมีกำไรสุทธิ 52 เซนต์/หุ้น ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 60 เซนต์/หุ้น เพราะได้รับผลกระทบจากยอดขายในสหรัฐและจีนที่ต่ำกว่าคาด
อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P 500 และ NASDAQ ปิดตลาดในแดนบวก เนื่องจากนักลงทุนขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของเฟซบุ๊ก โดยทางบริษัทได้เปิดเผยกำไรไตรมาส 2 พุ่งขึ้นสู่ระดับ 97 เซนต์/หุ้น สูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 82 เซนต์/หุ้น ขณะที่มีรายได้ 6.44 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 6.02 พันล้านดอลลาร์
เฟซบุ๊กยังระบุว่า รายได้จากโฆษณาพุ่งแตะระดับ 6.24 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 5.8 พันล้านดอลลาร์ ส่วนรายได้จากธุรกิจโฆษณาบนมือถือพุ่งขึ้น 84% สู่ระดับ 5.42 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 4.84 พันล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ จำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊กรายเดือนปัจจุบันอยู่ที่ 1.71 ล้านคน สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.69 พันล้านคน
ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของเฟ๊ซบุ๊กช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นเฟซบุ๊กพุ่งขึ้น 1.35% หุ้น Amazon.com พุ่งขึ้น 2.2% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล อิงค์ ทะยานขึ้นกว่า 4%
นักลงทุนจับตาตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 2 ของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า จีดีพีจะขยายตัว 2.6% ในไตรมาส 2 หลังจากที่เติบโต 1.1% ในไตรมาส 1
ส่วนในไตรมาส 4 ปีที่แล้วนั้น จีดีพีสหรัฐขยายตัว 1.4% ขณะที่ทั้งปี 2559 มีการขยายตัว 2.4%
ด้านสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (28 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด หลังจากมีรายงานบ่งชี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทางกับตัวเลขคาดการณ์ และจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ใช้งานในสหรัฐ ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 78 เซนต์ หรือ 1.9% ปิดที่ 41.14 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 77 เซนต์ หรือ 1.8% ปิดที่ 42.70 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบปิดร่วงลงติดต่อกัน 5 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 521.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลง 2.3 ล้านบาร์เรล
การเปิดเผยข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบของ EIA สวนทางกับสถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน (API) ที่รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 827,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว
ด้านเบเกอร์ ฮิวส์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมัน ระบุว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่เปิดใช้งานในสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น 14 แห่ง เป็น 371 แห่ง ในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 22 ก.ค. ทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 สัปดาห์
โกลด์แมน แซคส์ ออกรายงานคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบจะยังคงทรงตัวอยู่ในช่วง 45-50 ดอลลาร์/บาร์เรล จนถึงช่วงกลางปีหน้า โดยสถานการณ์อุปสงค์และอุปทานโลกยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
นอกจากนี้ โกลด์แมน แซคส์ระบุว่า การที่ราคาน้ำมันจะร่วงลงต่ำกว่าระดับ 35 ดอลลาร์/บาร์เรลได้นั้น จะต้องมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น การชะลอตัวของอุปสงค์น้ำมันโลก, สต็อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของจีน และการเพิ่มการผลิตน้ำมันในลิเบีย และไนจีเรีย
ด้านสัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (28 ก.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งล่าสุด นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์
สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์-COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 6.7 ดอลลาร์ หรือ 0.50% ปิดที่ระดับ 1,341.20 ดอลลาร์/ออนซ์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,456.35 จุด ลดลง 15.82 จุด หรือ -0.09% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,154.98 จุด เพิ่มขึ้น 15.17 จุด หรือ +0.30% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,170.06 จุด เพิ่มขึ้น 3.48 จุด หรือ +0.16%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดอ่อนแรงลง หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 14,000 ราย สู่ระดับ 266,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 23 ก.ค. โดยปรับตัวขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 260,000 ราย
นอกจากนี้ ดาวโจนส์ยังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ โดยฟอร์ด มอเตอร์ เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 1.97 พันล้านดอลลาร์ หรือ 49 เซนต์/หุ้น และหากไม่นับรวมรายการพิเศษ ทางบริษัทมีกำไรสุทธิ 52 เซนต์/หุ้น ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 60 เซนต์/หุ้น เพราะได้รับผลกระทบจากยอดขายในสหรัฐและจีนที่ต่ำกว่าคาด
อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P 500 และ NASDAQ ปิดตลาดในแดนบวก เนื่องจากนักลงทุนขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของเฟซบุ๊ก โดยทางบริษัทได้เปิดเผยกำไรไตรมาส 2 พุ่งขึ้นสู่ระดับ 97 เซนต์/หุ้น สูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 82 เซนต์/หุ้น ขณะที่มีรายได้ 6.44 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 6.02 พันล้านดอลลาร์
เฟซบุ๊กยังระบุว่า รายได้จากโฆษณาพุ่งแตะระดับ 6.24 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 5.8 พันล้านดอลลาร์ ส่วนรายได้จากธุรกิจโฆษณาบนมือถือพุ่งขึ้น 84% สู่ระดับ 5.42 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 4.84 พันล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ จำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊กรายเดือนปัจจุบันอยู่ที่ 1.71 ล้านคน สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.69 พันล้านคน
ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของเฟ๊ซบุ๊กช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นเฟซบุ๊กพุ่งขึ้น 1.35% หุ้น Amazon.com พุ่งขึ้น 2.2% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล อิงค์ ทะยานขึ้นกว่า 4%
นักลงทุนจับตาตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 2 ของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า จีดีพีจะขยายตัว 2.6% ในไตรมาส 2 หลังจากที่เติบโต 1.1% ในไตรมาส 1
ส่วนในไตรมาส 4 ปีที่แล้วนั้น จีดีพีสหรัฐขยายตัว 1.4% ขณะที่ทั้งปี 2559 มีการขยายตัว 2.4%
ด้านสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (28 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด หลังจากมีรายงานบ่งชี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทางกับตัวเลขคาดการณ์ และจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ใช้งานในสหรัฐ ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 78 เซนต์ หรือ 1.9% ปิดที่ 41.14 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 77 เซนต์ หรือ 1.8% ปิดที่ 42.70 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบปิดร่วงลงติดต่อกัน 5 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 521.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลง 2.3 ล้านบาร์เรล
การเปิดเผยข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบของ EIA สวนทางกับสถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน (API) ที่รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 827,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว
ด้านเบเกอร์ ฮิวส์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมัน ระบุว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่เปิดใช้งานในสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น 14 แห่ง เป็น 371 แห่ง ในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 22 ก.ค. ทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 สัปดาห์
โกลด์แมน แซคส์ ออกรายงานคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบจะยังคงทรงตัวอยู่ในช่วง 45-50 ดอลลาร์/บาร์เรล จนถึงช่วงกลางปีหน้า โดยสถานการณ์อุปสงค์และอุปทานโลกยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
นอกจากนี้ โกลด์แมน แซคส์ระบุว่า การที่ราคาน้ำมันจะร่วงลงต่ำกว่าระดับ 35 ดอลลาร์/บาร์เรลได้นั้น จะต้องมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น การชะลอตัวของอุปสงค์น้ำมันโลก, สต็อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของจีน และการเพิ่มการผลิตน้ำมันในลิเบีย และไนจีเรีย
ด้านสัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (28 ก.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งล่าสุด นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์
สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์-COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 6.7 ดอลลาร์ หรือ 0.50% ปิดที่ระดับ 1,341.20 ดอลลาร์/ออนซ์