ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (12 ก.ค.) โดยดัชนีดาวโจนส์ และ S&P 500 ต่างก็ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะได้แรงหนุนจากราคาน้ำมัน WTI ที่พุ่งขึ้นกว่า 4% รวมทั้งการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยและเพิ่มวงเงินการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมวันพรุ่งนี้ เพื่อรับมือกับผลกระทบ Brexit
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,347.67 จุด เพิ่มขึ้น 120.74 จุด หรือ +0.66% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,022.82 จุด เพิ่มขึ้น 34.18 จุด หรือ +0.69% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,152.14 จุด เพิ่มขึ้น 14.98 จุด หรือ +0.70%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคักตั้งแต่ตลาดเปิดทำการ โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่พุ่งขึ้นกว่า 4% หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ประเมินแนวโน้มตลาดน้ำมันว่า จะยังคงมีความสดใสในปีหน้า โดยอุปสงค์น้ำมันจะสูงกว่ากำลังการผลิตน้ำมันในปัจจุบัน ขณะที่ปริมาณน้ำมันส่วนเกินในตลาดจะค่อยๆลดลง
ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกหลังจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า BoE จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรืออาจเพิ่มวงเงินการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ในการประชุมวันพรุ่งนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่อังกฤษได้ลงประชามติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
ทางด้าน นักวิเคราะห์มองว่า มีโอกาสมากกว่า 70% ที่ BoE จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 0.25% จากปัจจุบันที่ระดับ 0.5% และคาดว่าจะเพิ่มวงเงิน QE ขึ้นจากปัจจุบันที่ระดับ 3.75 แสนล้านปอนด์
นอกจากนี้ สถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มมีเสถียรภาพในอังกฤษยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวล หลังจากที่นางเทเรซา เมย์ ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคพรรคอนุรักษ์นิยม และนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนใหม่ แทนนายเดวิด คาเมรอน ที่ประกาศลาออกไปก่อนหน้านี้
หุ้นอัลโค อิงค์ พุ่งขึ้น 5.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ที่สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด อันเนื่องมาจากการปรับลดต้นทุน การปิดโรงถลุงแร่ที่มีต้นทุนสูง และแผนปรับลดต้นทุนผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรม
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นขานรับราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น 2.3% ส่วนหุ้นบริษัทรายใหญ่พุ่งขึ้นด้วยเช่นกัน รวมถึงหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ที่พุ่งขึ้น 3.11%
หุ้นกลุ่มสายการบินปรับตัวขึ้น โดยหุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ พุ่งขึ้น 5.5% หุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล โฮลดิงส์ พุ่งขึ้น 5.4% ส่วนหุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ทะยานขึ้น 11% ขานรับการคาดการณ์ที่ว่า การที่อเมริกัน แอร์ไลน์ทำข้อตกลงเครดิตการ์ดรุ่นใหม่ร่วมกับซิตี้กรุ๊ปและบาร์เคลย์สนั้น จะหนุนรายได้ของทางสายการบินให้แข็งแกร่งขึ้น
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของ BoE ในวันพฤหัสบดีนี้ และจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมิ.ย., ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย., การผลิตภาคอุตสาหกรรม-อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนมิ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.ค.โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 2.04 ดอลลาร์ ปิดที่ 46.80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 2.22 ดอลลาร์ ปิดที่ 48.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,347.67 จุด เพิ่มขึ้น 120.74 จุด หรือ +0.66% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,022.82 จุด เพิ่มขึ้น 34.18 จุด หรือ +0.69% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,152.14 จุด เพิ่มขึ้น 14.98 จุด หรือ +0.70%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคักตั้งแต่ตลาดเปิดทำการ โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่พุ่งขึ้นกว่า 4% หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ประเมินแนวโน้มตลาดน้ำมันว่า จะยังคงมีความสดใสในปีหน้า โดยอุปสงค์น้ำมันจะสูงกว่ากำลังการผลิตน้ำมันในปัจจุบัน ขณะที่ปริมาณน้ำมันส่วนเกินในตลาดจะค่อยๆลดลง
ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกหลังจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า BoE จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรืออาจเพิ่มวงเงินการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ในการประชุมวันพรุ่งนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่อังกฤษได้ลงประชามติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
ทางด้าน นักวิเคราะห์มองว่า มีโอกาสมากกว่า 70% ที่ BoE จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 0.25% จากปัจจุบันที่ระดับ 0.5% และคาดว่าจะเพิ่มวงเงิน QE ขึ้นจากปัจจุบันที่ระดับ 3.75 แสนล้านปอนด์
นอกจากนี้ สถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มมีเสถียรภาพในอังกฤษยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวล หลังจากที่นางเทเรซา เมย์ ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคพรรคอนุรักษ์นิยม และนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนใหม่ แทนนายเดวิด คาเมรอน ที่ประกาศลาออกไปก่อนหน้านี้
หุ้นอัลโค อิงค์ พุ่งขึ้น 5.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ที่สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด อันเนื่องมาจากการปรับลดต้นทุน การปิดโรงถลุงแร่ที่มีต้นทุนสูง และแผนปรับลดต้นทุนผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรม
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นขานรับราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น 2.3% ส่วนหุ้นบริษัทรายใหญ่พุ่งขึ้นด้วยเช่นกัน รวมถึงหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ที่พุ่งขึ้น 3.11%
หุ้นกลุ่มสายการบินปรับตัวขึ้น โดยหุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ พุ่งขึ้น 5.5% หุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล โฮลดิงส์ พุ่งขึ้น 5.4% ส่วนหุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ทะยานขึ้น 11% ขานรับการคาดการณ์ที่ว่า การที่อเมริกัน แอร์ไลน์ทำข้อตกลงเครดิตการ์ดรุ่นใหม่ร่วมกับซิตี้กรุ๊ปและบาร์เคลย์สนั้น จะหนุนรายได้ของทางสายการบินให้แข็งแกร่งขึ้น
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของ BoE ในวันพฤหัสบดีนี้ และจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมิ.ย., ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย., การผลิตภาคอุตสาหกรรม-อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนมิ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.ค.โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 2.04 ดอลลาร์ ปิดที่ 46.80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 2.22 ดอลลาร์ ปิดที่ 48.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล