รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ลานเช่าจอดรถยนต์ ของบริษัท เอซีซี ออโต้เซ็นเตอร์ จำกัด ในเขตประกอบการเสรี1 นิคมอุตสาหกรรมท่าเรือแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พบรถยนต์หรู นำเข้าจากต่างประเทศ มูลค่านับพันล้านบาท มากกว่า 200 คัน เช่น รถโรสลอยล์ ราคาประมาณคันละ 30 ล้าน จอดอยู่กว่า 10 คัน นอกจากนี้ยังมี รถแอสตัน มาร์ติน คันละ 30 ล้าน จากัวร์ ปอร์เช่ แลนด์โรเวอร์ เบนซ์ บีเอ็มดับบลิว
นายธานินทร์ ประสานแก้ว ผู้จัดการ บริษัท เอซีซี บริษัทให้บริการรับฝากจอดรถ นำเจ้าหน้าที่ศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ตรวจสอบรถยนต์หรูดังกล่าว พร้อมเปิดเผยว่า รถยนต์หรู เหล่านี้ ได้นำเข้ามา เพื่อขายให้กับลูกค้า แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจซบเซาทำให้ขายรถไม่ได้ จึงต้องจอดทิ้งไว้ ซึ่งขณะนี้พบว่ามีรถจอดทิ้งไว้หลายแห่งรวมแล้วกว่า 1,000 คัน
ทั้งนี้ บริษัทคิดค่าเช่าจอดรถคันละ 200 บาท ต่อวัน แต่เนื่องจากผู้ประกอบการขายรถไม่ได้ และยอมจ่ายค่าเช่ามาตลอด จึงลดค่าเช่าเหลือวันละ 100 บาท เท่านั้น ซึ่งบางคันจอดไว้ถึง 3-4 ปี บางคันจอดทิ้งไว้ 1- 2 ปี แล้วแต่ระยะเวลาการนำเข้า
อย่างไรก็ตามหลังจากที่รัฐบาลมีมาตรการเร่งรัดให้ผู้ประกอบการนำเข้ารถยนต์ที่จอดรถทิ้งไว้ ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป ให้มาจ่ายภาษี และนำรถออกไปจากท่าเรือภายใน 90 วัน มิฉะนั้นจะเข้ายึดรถยนต์ เพื่อเอาไปประมูลขายนำรายได้เข้าแผ่นดิน ทำให้ผู้ประกอบเร่งย้ายรถยนต์เหล่านี้ไปจอดยังประเทศเพื่อนบ้านแทน
ด้านนายจำเริญ โพธิยอด ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี กรมศุลกากร เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหากรณีรถยนต์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศและจอดค้างอยู่ที่บริเวณเขตปลอดอากร (ฟรีโซน) เป็นจำนวนมาก ว่า ขณะนี้กรมศุลกากรได้เสนอ 3 แนวทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พิจารณาแก้ไขปัญหารถยนต์จอดค้างกว่า 1,140 คัน ด้วยการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาตรา 44 เห็นชอบตามหลักการที่เสนอ เบื้องต้นแนวทางดังกล่าวจะมีทั้งการเสนอปรับลดอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ จากปัจจุบันที่จัดเก็บในอัตรา 328% เป็นกรณีพิเศษ และการกำหนดระยะเวลา หากไม่นำรถยนต์ออกจากพื้นที่ จะมีบทลงโทษสูงสุด คือ ถูกยึดรถยนต์เพื่อขายทอดตลาด
ทั้งนี้สาเหตุที่มีรถยนต์นำเข้ามาจากต่างประเทศ และจอดค้างอยู่ที่บริเวณเขตปลอดอากรจำนวนมาก แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ การประกอบอุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม โดยพบว่าผู้ประกอบการนำเข้ารถยนต์เข้ามาแล้ว แต่ไม่สามารถจำหน่ายออกไปได้ เนื่องจากผู้ประกอบการทั้งเกรย์มาร์เก็ต หรือกลุ่มตัวแทนขาย (ดีลเลอร์) นำรถยนต์จากตลาดญี่ปุ่น ตลาดอินเดียเข้ามาจำหน่าย แต่ไม่ได้รับการสนใจจากลูกค้า แต่หากเป็นรถซูเปอร์คาร์ (รถหรู) จะมีปัญหาจากผู้ประกอบการไม่มีเงินจ่ายภาษี 328% ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ทำให้ผู้ประกอบการเลือกนำรถยนต์เข้าไปเก็บในพื้นที่ดังกล่าวแทน
นายธานินทร์ ประสานแก้ว ผู้จัดการ บริษัท เอซีซี บริษัทให้บริการรับฝากจอดรถ นำเจ้าหน้าที่ศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ตรวจสอบรถยนต์หรูดังกล่าว พร้อมเปิดเผยว่า รถยนต์หรู เหล่านี้ ได้นำเข้ามา เพื่อขายให้กับลูกค้า แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจซบเซาทำให้ขายรถไม่ได้ จึงต้องจอดทิ้งไว้ ซึ่งขณะนี้พบว่ามีรถจอดทิ้งไว้หลายแห่งรวมแล้วกว่า 1,000 คัน
ทั้งนี้ บริษัทคิดค่าเช่าจอดรถคันละ 200 บาท ต่อวัน แต่เนื่องจากผู้ประกอบการขายรถไม่ได้ และยอมจ่ายค่าเช่ามาตลอด จึงลดค่าเช่าเหลือวันละ 100 บาท เท่านั้น ซึ่งบางคันจอดไว้ถึง 3-4 ปี บางคันจอดทิ้งไว้ 1- 2 ปี แล้วแต่ระยะเวลาการนำเข้า
อย่างไรก็ตามหลังจากที่รัฐบาลมีมาตรการเร่งรัดให้ผู้ประกอบการนำเข้ารถยนต์ที่จอดรถทิ้งไว้ ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป ให้มาจ่ายภาษี และนำรถออกไปจากท่าเรือภายใน 90 วัน มิฉะนั้นจะเข้ายึดรถยนต์ เพื่อเอาไปประมูลขายนำรายได้เข้าแผ่นดิน ทำให้ผู้ประกอบเร่งย้ายรถยนต์เหล่านี้ไปจอดยังประเทศเพื่อนบ้านแทน
ด้านนายจำเริญ โพธิยอด ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี กรมศุลกากร เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหากรณีรถยนต์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศและจอดค้างอยู่ที่บริเวณเขตปลอดอากร (ฟรีโซน) เป็นจำนวนมาก ว่า ขณะนี้กรมศุลกากรได้เสนอ 3 แนวทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พิจารณาแก้ไขปัญหารถยนต์จอดค้างกว่า 1,140 คัน ด้วยการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาตรา 44 เห็นชอบตามหลักการที่เสนอ เบื้องต้นแนวทางดังกล่าวจะมีทั้งการเสนอปรับลดอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ จากปัจจุบันที่จัดเก็บในอัตรา 328% เป็นกรณีพิเศษ และการกำหนดระยะเวลา หากไม่นำรถยนต์ออกจากพื้นที่ จะมีบทลงโทษสูงสุด คือ ถูกยึดรถยนต์เพื่อขายทอดตลาด
ทั้งนี้สาเหตุที่มีรถยนต์นำเข้ามาจากต่างประเทศ และจอดค้างอยู่ที่บริเวณเขตปลอดอากรจำนวนมาก แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ การประกอบอุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม โดยพบว่าผู้ประกอบการนำเข้ารถยนต์เข้ามาแล้ว แต่ไม่สามารถจำหน่ายออกไปได้ เนื่องจากผู้ประกอบการทั้งเกรย์มาร์เก็ต หรือกลุ่มตัวแทนขาย (ดีลเลอร์) นำรถยนต์จากตลาดญี่ปุ่น ตลาดอินเดียเข้ามาจำหน่าย แต่ไม่ได้รับการสนใจจากลูกค้า แต่หากเป็นรถซูเปอร์คาร์ (รถหรู) จะมีปัญหาจากผู้ประกอบการไม่มีเงินจ่ายภาษี 328% ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ทำให้ผู้ประกอบการเลือกนำรถยนต์เข้าไปเก็บในพื้นที่ดังกล่าวแทน