นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานกรรมการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) เปิดเผยว่า ที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2559 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เห็นชอบให้ตนดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดอีกสมัย เพื่อเดินหน้าฟื้นฟูกิจการของไอแบงก์ต่อไป และเมื่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือซูเปอร์บอร์ด เห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการไอแบงก์ ด้วยการหาพันธมิตรเข้ามาเพิ่มทุนธนาคารให้เพียงพอ และแยกลูกค้าหนี้เสียในส่วนลูกค้าที่ไม่ใช่ชาวมุสลิมมูลค่า 40,000 ล้านบาท โอนไปยังบริษัท บริหารสินทรัพย์ไทย (เอเอ็มซี) ซึ่งกระทรวงการคลังตั้งขึ้นปีนี้ มูลค่าตามบัญชีสุทธิ การหาพันธมิตรร่วมทุน ขณะนี้มีสถาบันการเงินสนใจเข้ามาร่วมทุนหลายราย แต่ตั้งเงื่อนไขขอให้ดูแลเงินกองทุนบีไอเอสไม่ให้ต่ำกว่าร้อยละ 8.5 จึงต้องยุติการเจรจาหาผู้ร่วมทุนรายใหม่รอบแรก และหาวิธีการใหม่ เพื่อหาแนวทางเพิ่มทุนไม่ต่ำกว่า 23,000 ล้านบาท โดยต้องหาทางไม่ให้เงินกองทุนติดลบ เพื่อง่ายต่อการหาพันธมิตรรายใหม่ ทั้งนี้ ยอมรับว่า การหาผู้ร่วมทุนโดยเติมเงินกองทุนให้ไม่ติดลบ อาจเป็นไปอย่างลำบาก
อย่างไรก็ตาม ไอแบงก์ยังเดินหน้าฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้อิสลามแบงก์ยังคงอยู่บริการชาวมุสลิมและประชาชนและต้องหารือใช้ระบบเครือข่ายทางการเงินกับธนาคารออมสิน ด้วยการคิดหาแผนฟื้นฟูทั้งหมดเสนอ คนร.อีกครั้ง หลังจากเดินหน้าแก้ปัญหาในช่วงที่ผ่านมามีเงินฝากจากชาวมุสลิมเพิ่มขึ้นร้อยละ 60 เกินบัญชีลูกค้าทั้งหมด ปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพอยู่ในระดับทรงตัว จึงคาดว่าผลประกอบการภายในสิ้นปีนี้จะกลับมาดีขึ้น หลังจากผลขาดทุนปี 2558 มียอด 4,595 ล้านบาท โดยยังมีแผนเดินหน้าสรรหาพันธมิตรร่วมทุน เพื่อไม่ให้ฐานะทางการเงินติดลบ จากฐานะทางการเงินปัจจุบันมีสินเชื่อคงค้าง 97,000 ล้านบาท ยอดเงินฝาก 100,000 ล้านบาท ยอดหนี้เสียเอ็นพีเอฟร้อยละ 40 ของสินเชื่อรวม โดยปล่อยสินเชื่อใหม่ 3,000 ล้านบาท และสินเชื่อบางส่วนถูกรีไฟแนนซ์ไปยังแบงก์อื่น คาดว่าสินเชื่อจะกลับมาเติบโต
อย่างไรก็ตาม ไอแบงก์ยังเดินหน้าฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้อิสลามแบงก์ยังคงอยู่บริการชาวมุสลิมและประชาชนและต้องหารือใช้ระบบเครือข่ายทางการเงินกับธนาคารออมสิน ด้วยการคิดหาแผนฟื้นฟูทั้งหมดเสนอ คนร.อีกครั้ง หลังจากเดินหน้าแก้ปัญหาในช่วงที่ผ่านมามีเงินฝากจากชาวมุสลิมเพิ่มขึ้นร้อยละ 60 เกินบัญชีลูกค้าทั้งหมด ปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพอยู่ในระดับทรงตัว จึงคาดว่าผลประกอบการภายในสิ้นปีนี้จะกลับมาดีขึ้น หลังจากผลขาดทุนปี 2558 มียอด 4,595 ล้านบาท โดยยังมีแผนเดินหน้าสรรหาพันธมิตรร่วมทุน เพื่อไม่ให้ฐานะทางการเงินติดลบ จากฐานะทางการเงินปัจจุบันมีสินเชื่อคงค้าง 97,000 ล้านบาท ยอดเงินฝาก 100,000 ล้านบาท ยอดหนี้เสียเอ็นพีเอฟร้อยละ 40 ของสินเชื่อรวม โดยปล่อยสินเชื่อใหม่ 3,000 ล้านบาท และสินเชื่อบางส่วนถูกรีไฟแนนซ์ไปยังแบงก์อื่น คาดว่าสินเชื่อจะกลับมาเติบโต