จากกรณีที่ นายวุฒิกร เสฏฐัตต์ อายุ 29 ปี พนักงานธุรการโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ ได้รับบาดเจ็บขณะขี่รถจักรยานยนต์ มาถึงหน้าศูนย์ฮอนด้าพระราม 3 ก่อนจะถูกชาย 3 คน ขึงเชือกและถูกเชือกดึงคอจนเป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์เสียหลักล้ม จนนายวุฒิกร ได้รับบาดเจ็บบริเวณคอเป็นรอยเชือก กระดูกข้อมือแตก หัวแตก ขาถลอก และหนึ่งในนั้นยังอ้างว่าเป็นอาสาตำรวจ พร้อมขอค่าผ่านด่านตรวจจำนวน 200 บาท จากนั้นนายวุฒิกร จึงได้ขี่รถจยย.กลับบ้าน และเล่าเรื่องราวให้เพื่อนฟัง ก่อนที่เพื่อนๆจะไปยังจุดเกิดเหตุ และรุมทำร้ายร่างกายกลุ่มคนดังกล่าว พร้อมจับตัวส่งตำรวจได้เพียง 1 ราย ทราบชื่อคือนายสิทธิพงศ์ ธรรมภูษา อายุ 20 ปี ส่วนอีก 2 รายหลบหนีไป จากนั้นกลุ่มเพื่อนนายวุฒิกร จึงนำเรื่องราวมาโพสต์ในเฟสบุ๊คจนกลายเป็นกระแสวิพากษ์อย่างแพร่หลาย เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 13 พฤษภาคมนั้น
ล่าสุดวันที่ 14 พฤษภาคม 2559 พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. เปิดเผยว่า ตนได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว ทราบว่า จากการตรวจสอบนายสิทธิพงศ์ และพวกอีก 2 คนที่อยู่ระหว่างหลบหนีไม่ได้เป็นอาสาตำรวจแต่อย่างใด เบื้องต้นแจ้งข้อหานายสิทธิพงศ์ว่า “ทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส” เพียงข้อหาเดียว ยังไม่ได้แจ้งข้อหา “กรรโชกทรัพย์” เนื่องจากต้องรอรวบรวมพยานหลักฐานและสอบปากคำถึงพฤติการณ์ของผู้ต้องหา และผู้เสียหายก่อน เพราะจากการสอบปากคำนายสิทธิพงศ์นั้น ยังปฏิเสธว่าไม่ได้รับเงินจากผู้เสียหาย เนื่องจากที่ทำไปเพราะหวังดี และเห็นว่านายวุฒิกร ขับรถไป ก่อนจะวกรถกลับ ตนจึงคิดว่านายวุฒิกร ทำอะไรผิด และเจตนาหนีด่าน จึงต้องการช่วยเหลือตำรวจเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ต้องรอผลการตรวจร่างกายนายสิทธิพงศ์ จากแพทย์ก่อนว่าปลอดภัยดีหรือไม่ ก่อนจะนำตัวมาแถลงข่าวอีกครั้งหนึ่ง
รายงานข่าวแจ้งว่า นายสิทธิพงศ์ ถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ในเบื้องต้น ในส่วนข้อหา กรรโชกทรัพย์นั้น จะต้องสอบปากคำพฤติการณ์ของนายวุฒิกร ผู้เสียหาย และนายสิทธิพงศ์ ผู้ต้องหา อย่างละเอียดว่า สาเหตุที่นายวุฒิกร ให้เงินจำนวนดังกล่าวไปนั้น เป็นเพราะถูกกลุ่มนายสิทธิพงศ์ ข่มขู่ และอาจจะถูกทำร้าย หรือให้ไปเพราะคิดว่าเป็นอาสาตำรวจจริงๆ และกลัวว่าจะถูกจับ ในส่วนของอีก 2 คนที่หลบหนีนั้น อยู่ระหว่างตรวจสอบหาตัวบุคคลเพื่อนำมาสอบปากคำต่อไป
ขณะที่ พ.ต.ท.กรณ์พงษ์ พุ่มโพธิ์ทอง สว.จร.สน.วัดพระยาไกร กล่าวว่า ขอยืนยันว่าบุคคลที่อ้างตัวเป็นอาสาตำรวจ ที่ก่อเหตุลักษณะดังกล่าวนั้น ไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด เนื่องจากการคัดเลือกบุคคลที่จะเข้ามารับหน้าที่ในตรงนี้ ต้องผ่านการพิจารณาคุณสมบัติหลายอย่าง อาทิ บุคลิคที่ดี มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง พร้อมปฏิบัติหน้าที่ ไม่เคยต้องโทษ หรือติดคดีใดๆก็ตาม และที่สำคัญต้องมีจิตอาสาในการทำงานรับใช้ประชาชน โดยแต่ละปีจะมีการคัดเลือกเพียง 1 ครั้ง แล้วในปีนี้ก็จะเริ่มพิจารณาคัดบุคคลภายในสิ้นเดือนที่จะถึงนี้ หลังจากนั้นจะจัดฝึกอบรมการปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกวิธีอีกด้วย สำหรับด้านคดีต้องเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ล่าสุดวันที่ 14 พฤษภาคม 2559 พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. เปิดเผยว่า ตนได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวแล้ว ทราบว่า จากการตรวจสอบนายสิทธิพงศ์ และพวกอีก 2 คนที่อยู่ระหว่างหลบหนีไม่ได้เป็นอาสาตำรวจแต่อย่างใด เบื้องต้นแจ้งข้อหานายสิทธิพงศ์ว่า “ทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส” เพียงข้อหาเดียว ยังไม่ได้แจ้งข้อหา “กรรโชกทรัพย์” เนื่องจากต้องรอรวบรวมพยานหลักฐานและสอบปากคำถึงพฤติการณ์ของผู้ต้องหา และผู้เสียหายก่อน เพราะจากการสอบปากคำนายสิทธิพงศ์นั้น ยังปฏิเสธว่าไม่ได้รับเงินจากผู้เสียหาย เนื่องจากที่ทำไปเพราะหวังดี และเห็นว่านายวุฒิกร ขับรถไป ก่อนจะวกรถกลับ ตนจึงคิดว่านายวุฒิกร ทำอะไรผิด และเจตนาหนีด่าน จึงต้องการช่วยเหลือตำรวจเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ต้องรอผลการตรวจร่างกายนายสิทธิพงศ์ จากแพทย์ก่อนว่าปลอดภัยดีหรือไม่ ก่อนจะนำตัวมาแถลงข่าวอีกครั้งหนึ่ง
รายงานข่าวแจ้งว่า นายสิทธิพงศ์ ถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ในเบื้องต้น ในส่วนข้อหา กรรโชกทรัพย์นั้น จะต้องสอบปากคำพฤติการณ์ของนายวุฒิกร ผู้เสียหาย และนายสิทธิพงศ์ ผู้ต้องหา อย่างละเอียดว่า สาเหตุที่นายวุฒิกร ให้เงินจำนวนดังกล่าวไปนั้น เป็นเพราะถูกกลุ่มนายสิทธิพงศ์ ข่มขู่ และอาจจะถูกทำร้าย หรือให้ไปเพราะคิดว่าเป็นอาสาตำรวจจริงๆ และกลัวว่าจะถูกจับ ในส่วนของอีก 2 คนที่หลบหนีนั้น อยู่ระหว่างตรวจสอบหาตัวบุคคลเพื่อนำมาสอบปากคำต่อไป
ขณะที่ พ.ต.ท.กรณ์พงษ์ พุ่มโพธิ์ทอง สว.จร.สน.วัดพระยาไกร กล่าวว่า ขอยืนยันว่าบุคคลที่อ้างตัวเป็นอาสาตำรวจ ที่ก่อเหตุลักษณะดังกล่าวนั้น ไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด เนื่องจากการคัดเลือกบุคคลที่จะเข้ามารับหน้าที่ในตรงนี้ ต้องผ่านการพิจารณาคุณสมบัติหลายอย่าง อาทิ บุคลิคที่ดี มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง พร้อมปฏิบัติหน้าที่ ไม่เคยต้องโทษ หรือติดคดีใดๆก็ตาม และที่สำคัญต้องมีจิตอาสาในการทำงานรับใช้ประชาชน โดยแต่ละปีจะมีการคัดเลือกเพียง 1 ครั้ง แล้วในปีนี้ก็จะเริ่มพิจารณาคัดบุคคลภายในสิ้นเดือนที่จะถึงนี้ หลังจากนั้นจะจัดฝึกอบรมการปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกวิธีอีกด้วย สำหรับด้านคดีต้องเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
