นายสัมพันธ์ เสริมชีพ ทนายความของพระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เปิดเผยถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกหมายเรียกพระธัมมชโย ครั้งที่ 3 ให้มาพบพนักงานสอบสวนในวันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคมนี้ โดยระบุว่า พระธัมมชโย อาพาธอยู่และยังไม่ทราบเรื่องว่าจะต้องมาพบดีเอสไอ แต่ส่วนจะขอเลื่อนเข้าพบอีกหรือไม่ ทนายยังไม่เปิดเผย บอกเพียงสั้นๆ ว่า ไม่ได้มีการหลบหนี แต่อาพาธอยู่จริงๆ
ขณะที่ในวันนี้ นายสัมพันธ์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.บัณฑูรย์ ฉิมกรา ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 3 เพื่อให้ปากคำในฐานะพยาน ตามหมายเรียกของดีเอสไอ หลังคณะพนักงานสอบสวนพบหลักฐานว่านายสัมพันธ์ เข้าไปเกี่ยวข้องกับการที่นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น นำเงิน 321.4 ล้านบาท เป็นลักษณะการสั่งจ่ายเช็ค 10 ฉบับ เป็นเงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ไปซื้อหุ้นบริษัท เอ็มโฮมเอสพีวี 2 จำกัด มูลค่าความเสียหายประมาณ 320 ล้านบาท ซึ่งมีชื่อของนายสัมพันธ์ ถือหุ้นแทนนายศุภชัย
ทั้งนี้ นายสัมพันธ์ กล่าวก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวน ว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นมานานแล้ว ซึ่งบริษัท เอ็มโฮมเอสพีวี2 เป็นหนี้สถาบันการเงินอยู่ 3 แห่ง และมีการฟ้องร้องกันอยู่ที่ศาลธัญบุรี ในฐานะที่เป็นนักกฎหมายก็ได้เข้าไปดูการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้ ยืนยันว่า ไม่ได้ถือหุ้นบริษัทแทนใคร แต่เข้าไปเจรจาติดต่อหนี้ในฐานะนักกฎหมายเพื่อดูเรื่องปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพื่อเจรจาคดีความที่อยู่ในศาล ส่วนเรื่องเงินไม่ทราบเรื่องเลย ต้องไปถามผู้ถือหุ้นรายอื่น สามารถชี้แจงกับพนักงานสอบสวนได้ แต่ไม่ได้เตรียมเอกสารหลักฐานในเรื่องนี้มา เนื่องจากยังไม่ทราบว่าพนักงานสอบสวนจะสอบถามในประเด็นใดบ้าง จึงต้องขอดูประเด็นที่พนักงานสอบสวนจะสอบปากคำก่อน
ขณะที่ในวันนี้ นายสัมพันธ์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.บัณฑูรย์ ฉิมกรา ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 3 เพื่อให้ปากคำในฐานะพยาน ตามหมายเรียกของดีเอสไอ หลังคณะพนักงานสอบสวนพบหลักฐานว่านายสัมพันธ์ เข้าไปเกี่ยวข้องกับการที่นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น นำเงิน 321.4 ล้านบาท เป็นลักษณะการสั่งจ่ายเช็ค 10 ฉบับ เป็นเงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ไปซื้อหุ้นบริษัท เอ็มโฮมเอสพีวี 2 จำกัด มูลค่าความเสียหายประมาณ 320 ล้านบาท ซึ่งมีชื่อของนายสัมพันธ์ ถือหุ้นแทนนายศุภชัย
ทั้งนี้ นายสัมพันธ์ กล่าวก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวน ว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นมานานแล้ว ซึ่งบริษัท เอ็มโฮมเอสพีวี2 เป็นหนี้สถาบันการเงินอยู่ 3 แห่ง และมีการฟ้องร้องกันอยู่ที่ศาลธัญบุรี ในฐานะที่เป็นนักกฎหมายก็ได้เข้าไปดูการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้ ยืนยันว่า ไม่ได้ถือหุ้นบริษัทแทนใคร แต่เข้าไปเจรจาติดต่อหนี้ในฐานะนักกฎหมายเพื่อดูเรื่องปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพื่อเจรจาคดีความที่อยู่ในศาล ส่วนเรื่องเงินไม่ทราบเรื่องเลย ต้องไปถามผู้ถือหุ้นรายอื่น สามารถชี้แจงกับพนักงานสอบสวนได้ แต่ไม่ได้เตรียมเอกสารหลักฐานในเรื่องนี้มา เนื่องจากยังไม่ทราบว่าพนักงานสอบสวนจะสอบถามในประเด็นใดบ้าง จึงต้องขอดูประเด็นที่พนักงานสอบสวนจะสอบปากคำก่อน