ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ชมรมผู้ปฏิบัติธรรม สัมมาอะระหัง จังหวัดภูเก็ต เข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ซึ่งไม่ได้รับความเป็นธรรมกรณีถูกกล่าวหาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ
เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้ (11 พ.ค.) ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ชมรมผู้ปฏิบัติธรรม สัมมาอะระหัง จังหวัดภูเก็ต ประมาณ 50 คน นำโดย นายโอฬาร เจริญวานิช เลขานุการการชมรมผู้ปฎิบัติธรรม สัมมาอะระหัง จังหวัดภูเก็ต และนางวนิดา นิลโรจน์ เข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมให้แก่ พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ซึ่งไม่ได้รับความเป็นธรรมกรณีถูกกล่าวหาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ โดยยื่นขอความเป็นธรรมที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต ผ่าน นายวัชรินทร์ เจตนาวนิช เจ้าพนักงานที่ดิน จ.ภูเก็ต ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต เป็นผู้รับเรื่องร้องเรียน โดยมี นายประพันธ์ ขันธ์พระแสง หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต เข้าร่วม นอกจากนั้น ได้มีการชูป้ายข้อความต่างๆ ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ว่า เรารักหลวงพ่อธัมมชโย ขอความเป็นธรรมให้หลวงพ่อธัมมชโย หลวงพ่อธัมมชโย ท่านไม่ได้ฟอกเงิน ท่านไม่ได้รับของโจร ไม่ได้เป็นผู้ทำร้ายประเทศ ฯลฯ
นายโอฬาร เจริญวานิช เลขานุการการชมรมผู้ปฎิบัติธรรม สัมมาอะระหัง จังหวัดภูเก็ต กล่าวถึง การยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมในครั้งนี้ ว่า เพื่อช่วยปกป้องให้ความเป็นธรรมแก่พระเทพญาณมหามุนี โดยไม่ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินคดีต่อ พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) ในคดีพิเศษที่ 27/2559 โดยมีรายละเอียดคือ 1.ในสำนวนคดีพิเศษที่ 146/2556 พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) มีฐานะเป็นพยานในคดี 2.นายธรรมนูญ อัตโชติ ได้กล่าวหา นายศุภชัย ศรีศุภอักษร ว่า กระทำผิดฐานฟอกเงิน และกล่าวหา พระเทพญาณมหามุนี ว่า กระทำผิดฐานสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้ทำสำนวนแยกขึ้นมาเป็นคดีพิเศษที่ 27/ 2559 อีกคดีหนึ่ง ซึ่งซ้ำซ้อนกับคดีพิเศษที่ 146/2556 และ 63/2557 ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนไม่ทำตามคำสั่งของพนักงานอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ โดยการที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้แยกมูลคดีบางส่วนออกจากคดีเดิมมาตั้งเป็นสำนวนคดีพิเศษใหม่ที่ 27/2559 จึงเป็นการดำเนินคดีซ้ำซ้อนขัดต่อหลักกฎหมายที่ว่า “กรรมเดียวจะดำเนินคดีซ้ำซ้อนไม่ได้” ซึ่งอาจจะเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
3.พระเทพญาณมหามุนี รับบริจาคโดยเปิดเผยท่ามกลางคนจำนวนมาก เป็นการรับบริจาคของวัด ซึ่งเป็นองค์กรสาธารณะกุศล และพระภิกษุซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะกุศล เพื่อนำปัจจัยที่ได้รับบริจาคไปใช้ในกิจการทางศาสนา เช่น สร้างศาสนสถาน หรือศาสนาวัตถุ ซึ่งในกรณีนี้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค อันเป็นกิจการโดยทั่วไปที่เกี่ยวกับศาสนาโดยเปิดเผย และบุคคลทั่วไป รวมทั้งผู้บริจาคสามารถตรวจสอบได้ ย่อมไม่เป็นความผิดฐานฟอกเงิน หรือรับของโจร 4.นายศุภชัย ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า เงินที่นำมาบริจาคทำบุญให้แก่วัดพระธรรมกาย และพระเทพญาณมหามุนี นั้น เป็นเงินยืมมาจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น และได้ใช้คืนเงินให้แก่สหกรณ์รเครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด ครบถ้วนแล้ว 5.คณะศิษยานุศิษย์ของพระเทพญาณมหามุนี ได้ตั้งกองทุนเยียวยาช่วยเหลือให้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด โดยสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ ได้รับเงินไปแล้วทั้งหมด 684.78 ล้านบาท ส่วนเงินอีก 370.78 ล้านบาท คณะศิษยานุศิษย์ได้มอบเช็คให้แก่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน จึงถอนฟ้องพระเทพญาณมหามุนี และวัดพระธรรมกาย พร้อมทั้งทำหนังสือแสดงเจตจำนงไม่ประสงค์จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่ง และอาญาต่อ พระเทพญาณมหามุนี และวัดพระธรรมกาย นอกจากนั้นไ ด้ทำหนังสือขอบคุณมายังคณะศิษย์ของพระเทพญาณมหามุนี
ดังนั้น ชมรมผู้ปฏิบัติธรรม สัมมาอะระหัง จังหวัดภูเก็ต จึงเห็นว่าการกระทำของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมต่อ พระมหาเถระที่ตั้งใจทำความดี จึงรวมตัวกันร้องเรียนหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความเป็นธรรมต่อพระสงฆ์ด้วย
ด้าน นายวัชรินทร์ เจตนาวนิช เจ้าพนักงานที่ดิน จ.ภูเก็ต ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต กล่าวภายหลังรับหนังสือ ว่า จะส่งหนังสือขอความเป็นธรรมนำเสนอเรื่องให้ทางรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาตามกฎหมาย และหลังจากได้คำตอบผู้ที่มาร้องเรียนทั้งหมดพอใจจึงแยกย้ายกันกลับไป