พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทำหน้าที่แทน อ.ก.พ.กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อพิจารณาโทษทางวินัยนายชินภัทร ภูมิรัตน อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (อดีตเลขาฯ กพฐ.) และนายไกร เกษทัน ผู้อำนวยการสำนักติดตามและประเมินการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ. กรณีการสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีมีความจำเป็น หรือมีเหตุพิเศษ ว.12 ตามที่คณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงที่มีนายอภิชาติ จีระวุฒิ อดีตที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกรณีนายชินภัทร ตามข้อเสนอของคณะกรรมการสอบสวนให้ลงโทษปลดออกจากราชการ กรณีไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบของทางราชการ มติของคณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล และไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 82 (2) ประกอบมาตรา 85 (7) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 พร้อมทั้งให้ลงโทษภาคทัณฑ์กรณีไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เกิดผลดีหรือความก้าวหน้าแก่ราชการด้วยความตั้งใจ แต่เนื่องจากเกษียณอายุราชการแล้ว จึงให้งดโทษ ตามมาตรา 100 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
รมว.ศธ.กล่าวต่ออีกว่า ที่ประชุมได้มีหารือกันอย่างละเอียด ซึ่งกรณีของนายชินภัทร ที่ประชุมเห็นว่าไม่พบหลักฐานการทุจริต แต่เป็นเรื่องการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จนทำให้ราชการได้รับความเสียหาย เช่น ได้รับรายงานว่ามีส่อทุจริตการสอบครูผู้ช่วย แต่กลับไม่มีคำสั่งระงับการสอบ รวมถึงภายหลังเมื่อทราบว่าเกิดการทุจริตขึ้นกลับรีบเร่งให้มีการทำลายข้อสอบทันที ทั้งที่ตามระเบียบของราชการมีห้วงเวลากำหนดไว้ให้เก็บข้อสอบไว้ก่อนเป็นระยะเวลา 2 ปี และยิ่งในกรณีเกิดการทุจริตเช่นนี้ ยิ่งต้องเก็บรักษาข้อสอบไว้เพื่อทำการตรวจสอบ ไม่ใช่การเผาทำลาย ดังนั้นแม้จะไม่มีหลักฐานที่พบว่านายชินภัทรได้กระทำการทุจริต เพราะทุกขั้นตอนที่ดำเนินการถือว่าอยู่ในหน้าที่ แต่ก็ถือว่าได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างชัดเจน ที่ประชุมจึงมีโทษแค่ให้ปลดออก ซึ่งจะทำให้นายชินภัทรยังคงได้รับสิทธิประโยชน์จากทางราชการเหมือนเดิม
“การลงโทษให้ปลดออก ผมมองว่าแค่ถูกตราหน้าว่าถูกปลดออกจากราชการก็น่าจะพอแล้ว ถ้าเป็นผมก็คงรับไม่ได้อย่างแน่นอน” รมว.ศธ.กล่าว
นอกจากนี้ ในส่วนของกรณีนายไกร ที่ประชุมมีมติให้ปลดออกจากข้าราชการเช่นกัน เนื่องจากละเว้นการปฏิบัติในฐานะผู้รับผิดชอบในเรื่องการเก็บความลับข้อสอบ และถือกุญแจตู้นิรภัยที่ใช้เก็บข้อสอบ เมื่อมีปัญหาเฉลยข้อสอบรั่วเกิดขึ้นจึงต้องร่วมรับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม หลังมีคำสั่งปลดออกแล้ว นายชินภัทรและนายไกรสามารถอุทธรณ์คำสั่งได้ภายใน 30 วัน ยืนยันว่าที่ประชุมไม่มีอคติในการลงมติเพราะไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย
รมว.ศธ.กล่าวต่ออีกว่า ที่ประชุมได้มีหารือกันอย่างละเอียด ซึ่งกรณีของนายชินภัทร ที่ประชุมเห็นว่าไม่พบหลักฐานการทุจริต แต่เป็นเรื่องการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จนทำให้ราชการได้รับความเสียหาย เช่น ได้รับรายงานว่ามีส่อทุจริตการสอบครูผู้ช่วย แต่กลับไม่มีคำสั่งระงับการสอบ รวมถึงภายหลังเมื่อทราบว่าเกิดการทุจริตขึ้นกลับรีบเร่งให้มีการทำลายข้อสอบทันที ทั้งที่ตามระเบียบของราชการมีห้วงเวลากำหนดไว้ให้เก็บข้อสอบไว้ก่อนเป็นระยะเวลา 2 ปี และยิ่งในกรณีเกิดการทุจริตเช่นนี้ ยิ่งต้องเก็บรักษาข้อสอบไว้เพื่อทำการตรวจสอบ ไม่ใช่การเผาทำลาย ดังนั้นแม้จะไม่มีหลักฐานที่พบว่านายชินภัทรได้กระทำการทุจริต เพราะทุกขั้นตอนที่ดำเนินการถือว่าอยู่ในหน้าที่ แต่ก็ถือว่าได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างชัดเจน ที่ประชุมจึงมีโทษแค่ให้ปลดออก ซึ่งจะทำให้นายชินภัทรยังคงได้รับสิทธิประโยชน์จากทางราชการเหมือนเดิม
“การลงโทษให้ปลดออก ผมมองว่าแค่ถูกตราหน้าว่าถูกปลดออกจากราชการก็น่าจะพอแล้ว ถ้าเป็นผมก็คงรับไม่ได้อย่างแน่นอน” รมว.ศธ.กล่าว
นอกจากนี้ ในส่วนของกรณีนายไกร ที่ประชุมมีมติให้ปลดออกจากข้าราชการเช่นกัน เนื่องจากละเว้นการปฏิบัติในฐานะผู้รับผิดชอบในเรื่องการเก็บความลับข้อสอบ และถือกุญแจตู้นิรภัยที่ใช้เก็บข้อสอบ เมื่อมีปัญหาเฉลยข้อสอบรั่วเกิดขึ้นจึงต้องร่วมรับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม หลังมีคำสั่งปลดออกแล้ว นายชินภัทรและนายไกรสามารถอุทธรณ์คำสั่งได้ภายใน 30 วัน ยืนยันว่าที่ประชุมไม่มีอคติในการลงมติเพราะไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย
