เมื่อวันที่ 27 มีนาคม พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมเปิดร้านประชารัฐสุขใจ Shop ที่สถานีบริการน้ำมัน ปตท.จังหวัดละ 2 แห่ง รวม 148 แห่งทั่วประเทศ เริ่มวันที่ 1 เมษายนนี้ เพื่อเป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าโอท็อปและให้บริการข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยวในท้องถิ่น ซึ่งคัดเลือกและพัฒนาคุณภาพสินค้าและบรรจุภัณฑ์ก่อนนำขึ้นชั้นวางจำหน่ายทุกร้านค้า โดยจัดสรรงบประมาณ 100 ล้านบาท ระยะ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2559-2561เพื่อผลักดันโครงการประชารัฐเพื่อวิสาหกิจชุมชน หรือร้านประชารัฐสุขใจ เป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าให้ผู้ผลิตสินค้าโอท็อปและวิสาหกิจชุมชน ที่จะคัดสรรสินค้าโอท็อปเด่นของแต่ละจังหวัดในระดับเกรดเอ และบี มาวางจำหน่าย พร้อมทั้งจะพัฒนาคุณภาพและรูปแบบบรรจุภัณฑ์ของสินค้าโอท็อปทั่วไปให้มีมาตรฐานเทียบเท่าเกรดเอและบี เพื่อวางจำหน่ายต่อไป
ทั้งนี้ เบื้องต้นวางเป้าหมายว่าจะมีสินค้าวางจำหน่ายปีละ 7,400-30,000 รายการ มีสินค้าที่จะได้รับการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ปีละ 500 รายการ สร้างรายได้ให้ชุมชนทั่วประเทศปีละ 50 ล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานหรือประชาชนร่วมผลิตสินค้าปีละ 1.48 แสนราย ทั้งนี้ หลังดำเนินการไปแล้ว 3 ปี ร้านประชารัฐสุขใจแต่ละร้านจะสามารถดูแลตนเองได้
พล.ต.สรรเสริญกล่าวต่อว่า สำหรับรูปแบบการบริหารจัดการร้านค้ากำหนดไว้ 3 รูปแบบ คือ ขับเคลื่อนโดยเครือข่ายโอท็อปของจังหวัด ขับเคลื่อนโดยสำนักงานพัฒนาชุมชนของจังหวัดประสานกับกลุ่มผู้ผลิตสินค้า หรือขับเคลื่อนโดยอาศัยผู้ขายอาชีพ ทำหน้าที่รวบรวมและจัดส่งสินค้าเข้าร้าน ซึ่งในเดือนมีนาคมได้ดำเนินการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ และคัดเลือกสินค้าเรียบร้อยแล้ว
“นายกฯให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจจากภายใน โดยเริ่มจากระดับชุมชน ตำบล อำเภอและจังหวัด ซึ่งโครงการร้านประชารัฐสุขใจ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์จากระดับชุมชนสู่ระดับประเทศ และเชื่อมโยงไปสู่ภูมิภาคอาเซียนและประชาคมโลก”พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
และว่า ได้เน้นย้ำให้ทุกร้านค้า รักษามาตรฐานของสินค้าและบริการ เพื่อดึงดูดใจนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ถ้าประเมินผลแล้วเป็นที่น่าพอใจ ขอให้ขยายจำนวนร้านค้าในปั๊ม ปตท.เพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นมีโอกาสเข้าถึงช่องทางกระจายสินค้าได้มากขึ้น รวมทั้งพัฒนาต่อไปถึงการตั้งร้านค้าในปั๊มน้ำมันที่ ปตท.ไปลงทุนในต่างประเทศ
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า โครงการนี้ดำเนินการภายใต้ความร่วมมือของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กรมการพัฒนาชุมชน สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
ทั้งนี้ เบื้องต้นวางเป้าหมายว่าจะมีสินค้าวางจำหน่ายปีละ 7,400-30,000 รายการ มีสินค้าที่จะได้รับการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ปีละ 500 รายการ สร้างรายได้ให้ชุมชนทั่วประเทศปีละ 50 ล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานหรือประชาชนร่วมผลิตสินค้าปีละ 1.48 แสนราย ทั้งนี้ หลังดำเนินการไปแล้ว 3 ปี ร้านประชารัฐสุขใจแต่ละร้านจะสามารถดูแลตนเองได้
พล.ต.สรรเสริญกล่าวต่อว่า สำหรับรูปแบบการบริหารจัดการร้านค้ากำหนดไว้ 3 รูปแบบ คือ ขับเคลื่อนโดยเครือข่ายโอท็อปของจังหวัด ขับเคลื่อนโดยสำนักงานพัฒนาชุมชนของจังหวัดประสานกับกลุ่มผู้ผลิตสินค้า หรือขับเคลื่อนโดยอาศัยผู้ขายอาชีพ ทำหน้าที่รวบรวมและจัดส่งสินค้าเข้าร้าน ซึ่งในเดือนมีนาคมได้ดำเนินการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ และคัดเลือกสินค้าเรียบร้อยแล้ว
“นายกฯให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจจากภายใน โดยเริ่มจากระดับชุมชน ตำบล อำเภอและจังหวัด ซึ่งโครงการร้านประชารัฐสุขใจ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์จากระดับชุมชนสู่ระดับประเทศ และเชื่อมโยงไปสู่ภูมิภาคอาเซียนและประชาคมโลก”พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
และว่า ได้เน้นย้ำให้ทุกร้านค้า รักษามาตรฐานของสินค้าและบริการ เพื่อดึงดูดใจนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ถ้าประเมินผลแล้วเป็นที่น่าพอใจ ขอให้ขยายจำนวนร้านค้าในปั๊ม ปตท.เพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นมีโอกาสเข้าถึงช่องทางกระจายสินค้าได้มากขึ้น รวมทั้งพัฒนาต่อไปถึงการตั้งร้านค้าในปั๊มน้ำมันที่ ปตท.ไปลงทุนในต่างประเทศ
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า โครงการนี้ดำเนินการภายใต้ความร่วมมือของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กรมการพัฒนาชุมชน สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย