นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ เปิดเผยว่า หลังจากบีโอไอออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนในกิจการเป้าหมาย และการส่งเสริมลงทุนในรูปแบบคลัสเตอร์ ประกอบกับการเดินหน้าจัดกิจกรรมชักจูงการลงทุน เพื่อนำเสนอข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการแก่นักลงทุนโดยตรงทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันมีนักลงทุนแสดงความสนใจยื่นคำขอรับส่งเสริมการลงทุนภายใต้มาตรการต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งบีโอไอมั่นใจว่า ภายในครึ่งปีแรกของปีนี้ จะมีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท โดยจำนวนนี้จะเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายมูลค่าไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มั่นใจว่า การยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนตลอดทั้งปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ที่450,000 ล้านบาท โดยในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2559 การยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน มีจำนวน 187 โครงการ เงินลงทุนรวม 32,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 96 จากช่วงเดียวกันปี 2558 ที่มีมูลค่าเงินลงทุน 16,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) จำนวน 120 โครงการ เงินลงทุน 12,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 5 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าลงทุน 1,918 ล้านบาท
นอกจากนี้ โครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 68.45 เป็นกิจการใน 10 อุตสาหกรรมตามเป้าหมายของรัฐบาล โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมกลุ่มดิจิทัล รองมาเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ เป็นต้น
ทั้งนี้ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มั่นใจว่า การยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนตลอดทั้งปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ที่450,000 ล้านบาท โดยในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2559 การยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน มีจำนวน 187 โครงการ เงินลงทุนรวม 32,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 96 จากช่วงเดียวกันปี 2558 ที่มีมูลค่าเงินลงทุน 16,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) จำนวน 120 โครงการ เงินลงทุน 12,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 5 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าลงทุน 1,918 ล้านบาท
นอกจากนี้ โครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 68.45 เป็นกิจการใน 10 อุตสาหกรรมตามเป้าหมายของรัฐบาล โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมกลุ่มดิจิทัล รองมาเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ เป็นต้น