เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 59 นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ ในฐานะ ผอ.สถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม (ธ.พ.ส.ส.) พร้อมด้วย นายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร กล่าวว่า 46 องค์กรและเครือข่ายภาคประชาชน ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์คัดค้านคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2559 เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 59 เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยมีสาระให้กิจการด้านคมนาคม ชลประทาน การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โรงพยาบาล ที่อยู่อาศัย ไม่ต้องรอให้การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้วเสร็จ สามารถหาทางออกล่วงหน้าได้เลย
นายบัณฑูร กล่าวต่อว่า ทาง 46 องค์กร และเครือข่ายภาคประชาชนด้านทรัพยากรธรรมชาติ สุขภาพ และการพัฒนาที่ยั่งยืน จำนวน 46 องค์กร ได้มีข้อวิเคราะห์ถึงคำสั่งที่ 9/2559 ดังกล่าว 2 ข้อ คือ 1. คำสั่งที่ 9/2559 เป็นการส่งสัญญาณทางนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นเป้าหมายเร่งรัดการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะเรื่อง การคมนาคม เช่น ท่าเรือ ระบบรถไฟ ทางด่วน และ ชลประทาน อาทิ เขื่อนขนาดใหญ่ ซึ่งมักประสบปัญหาการทำลายระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม สุขภาพของชุมชนท้องถิ่นตลอดมา การเร่งรัดดังกล่าวเป็นการลดความสำคัญด้านการดูแลคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และสุขภาพอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน การดำเนินการให้ได้มาซึ่งเอกชนผู้รับดำเนินการตามโครงการ โดยที่มาตรการป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมยังมิได้รับความเห็นชอบ เป็นการสร้างบรรทัดฐานที่บกพร่องในการละเว้นการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายที่ปกป้องผลประโยชน์ของสาธารณะ สาระสำคัญและผลของคำสั่งนี้จึงไม่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ภายใต้กรอบขององค์การสหประชาชาติ ที่ประเทศไทยได้แสดงความผูกพันทางการเมือง ในทางปฏิบัติ ไม่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
นายบัณฑูร กล่าวต่อว่า 2. โครงการหรือกิจการเข้าข่ายคำสั่งที่ 9/2559 เป็นโครงการของหน่วยงานของรัฐ จึงเป็นโครงการขนาดใหญ่ ที่อาจมีผลกระทบอย่างกว้างขวางและรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และคุณภาพชีวิต แม้ว่าจะยังให้มีการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อไป แต่จะสร้างผลกระทบและความเชื่อมั่นต่อความเป็นอิสระ ในการจัดทำและพิจารณาของ EIA และจะยิ่งทำให้โครงการที่ดำเนินการตามคำสั่งดังกล่าวมีปัญหาความขัดแย้ง ความไม่เชื่อถือยอมรับจากประชาชนและชุมชนในพื้นที่โครงการ รวมทั้งจากสาธารณะ แม้ว่าจะเป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อสังคมก็ตาม
นายบัณฑูร กล่าวต่อว่า ทางองค์กรฯ ได้มีข้อเรียกร้อง 4 ข้อ ดังนี้ 1. ให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 9/2559 เพื่อป้องกันและระงับมิให้เกิดปัญหาความขัดแย้งเพิ่มขึ้นในสังคมไทย และมิให้เป็นคำสั่งที่ขัดแย้งกับแนวนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาที่ยั่งยืน 2. รัฐบาลควรเร่งผลักดันการปฏิรูปโครงสร้าง และระบบการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับธรรมาภิบาล สร้างความเชื่อถือและเชื่อมั่นของประชาชน และผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมิให้เกิดความล่าช้าเกินควร ข้อเสนอในการปฏิรูปโครงสร้างและระบบ EIA ได้มีการจัดทำและเสนอไว้แล้ว นับตั้งแต่มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ปี 2555 ข้อเสนอของคณะทำงานเตรียมการปฏิรูปเพื่อคืนความสุขให้คนในชาติ (สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม) และข้อเสนอของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)
นายบัณฑูร กล่าวต่อว่า 3. เพิ่มเติมเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญ ในหมวดสิทธิและเสรีภาพ (ด้านสิทธิชุมชน) และในหมวดการปฏิรูป เพื่อให้มีบทบัญญัติที่นำไปสู่การปฏิรูปโครงสร้างและระบบการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการนำการประเมินสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) มาใช้ดำเนินการ 4. ให้มีการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ทั้งฉบับ เพื่อเป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่สนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีการจัดทำข้อเสนอแนะการยกร่างปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวไว้แล้ว โดยคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย
สำหรับองค์กรและเครือข่ายภาคประชาชนฯ จำนวน 46 องค์กร อาทิ สถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม (ธ.พ.ส.ส.) สมาคมรักษ์ทะเลไทย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิสืบนาคะเสถียร สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน มูลนิธิพื้นที่ชุ่มน้ำไทย เครือข่ายรักษ์ชุมพร สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา สมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ (สคส.) มูลนิธิอันดามัน สมาคมฟื้นฟูและพัฒนาลุ่มน้ำสาละวิน เครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคม สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น
นายบัณฑูร กล่าวต่อว่า ทาง 46 องค์กร และเครือข่ายภาคประชาชนด้านทรัพยากรธรรมชาติ สุขภาพ และการพัฒนาที่ยั่งยืน จำนวน 46 องค์กร ได้มีข้อวิเคราะห์ถึงคำสั่งที่ 9/2559 ดังกล่าว 2 ข้อ คือ 1. คำสั่งที่ 9/2559 เป็นการส่งสัญญาณทางนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นเป้าหมายเร่งรัดการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะเรื่อง การคมนาคม เช่น ท่าเรือ ระบบรถไฟ ทางด่วน และ ชลประทาน อาทิ เขื่อนขนาดใหญ่ ซึ่งมักประสบปัญหาการทำลายระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม สุขภาพของชุมชนท้องถิ่นตลอดมา การเร่งรัดดังกล่าวเป็นการลดความสำคัญด้านการดูแลคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และสุขภาพอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน การดำเนินการให้ได้มาซึ่งเอกชนผู้รับดำเนินการตามโครงการ โดยที่มาตรการป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมยังมิได้รับความเห็นชอบ เป็นการสร้างบรรทัดฐานที่บกพร่องในการละเว้นการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายที่ปกป้องผลประโยชน์ของสาธารณะ สาระสำคัญและผลของคำสั่งนี้จึงไม่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ภายใต้กรอบขององค์การสหประชาชาติ ที่ประเทศไทยได้แสดงความผูกพันทางการเมือง ในทางปฏิบัติ ไม่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
นายบัณฑูร กล่าวต่อว่า 2. โครงการหรือกิจการเข้าข่ายคำสั่งที่ 9/2559 เป็นโครงการของหน่วยงานของรัฐ จึงเป็นโครงการขนาดใหญ่ ที่อาจมีผลกระทบอย่างกว้างขวางและรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และคุณภาพชีวิต แม้ว่าจะยังให้มีการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อไป แต่จะสร้างผลกระทบและความเชื่อมั่นต่อความเป็นอิสระ ในการจัดทำและพิจารณาของ EIA และจะยิ่งทำให้โครงการที่ดำเนินการตามคำสั่งดังกล่าวมีปัญหาความขัดแย้ง ความไม่เชื่อถือยอมรับจากประชาชนและชุมชนในพื้นที่โครงการ รวมทั้งจากสาธารณะ แม้ว่าจะเป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อสังคมก็ตาม
นายบัณฑูร กล่าวต่อว่า ทางองค์กรฯ ได้มีข้อเรียกร้อง 4 ข้อ ดังนี้ 1. ให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 9/2559 เพื่อป้องกันและระงับมิให้เกิดปัญหาความขัดแย้งเพิ่มขึ้นในสังคมไทย และมิให้เป็นคำสั่งที่ขัดแย้งกับแนวนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาที่ยั่งยืน 2. รัฐบาลควรเร่งผลักดันการปฏิรูปโครงสร้าง และระบบการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับธรรมาภิบาล สร้างความเชื่อถือและเชื่อมั่นของประชาชน และผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมิให้เกิดความล่าช้าเกินควร ข้อเสนอในการปฏิรูปโครงสร้างและระบบ EIA ได้มีการจัดทำและเสนอไว้แล้ว นับตั้งแต่มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ปี 2555 ข้อเสนอของคณะทำงานเตรียมการปฏิรูปเพื่อคืนความสุขให้คนในชาติ (สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม) และข้อเสนอของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)
นายบัณฑูร กล่าวต่อว่า 3. เพิ่มเติมเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญ ในหมวดสิทธิและเสรีภาพ (ด้านสิทธิชุมชน) และในหมวดการปฏิรูป เพื่อให้มีบทบัญญัติที่นำไปสู่การปฏิรูปโครงสร้างและระบบการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการนำการประเมินสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) มาใช้ดำเนินการ 4. ให้มีการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ทั้งฉบับ เพื่อเป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่สนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีการจัดทำข้อเสนอแนะการยกร่างปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวไว้แล้ว โดยคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย
สำหรับองค์กรและเครือข่ายภาคประชาชนฯ จำนวน 46 องค์กร อาทิ สถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม (ธ.พ.ส.ส.) สมาคมรักษ์ทะเลไทย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิสืบนาคะเสถียร สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน มูลนิธิพื้นที่ชุ่มน้ำไทย เครือข่ายรักษ์ชุมพร สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา สมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ (สคส.) มูลนิธิอันดามัน สมาคมฟื้นฟูและพัฒนาลุ่มน้ำสาละวิน เครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคม สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น