น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ( สบส.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ความนิยมด้านสุขภาพและการเสริมความงามเป็นกระแสที่วัยรุ่น วัยทำงาน และวัยสูงอายุทั้งไทยและเทศให้ความสนใจเป็นอันมาก สบส. ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา แพทยสภา ควบคุมมาตรฐานคลินิก สถานพยาบาลที่มี 1,458 แห่งทั่วประเทศ และมีแพทย์เฉพาะทางด้านนี้ที่ขึ้นทะเบียนกับแพทยสภาจำนวน 490 คน ผลการดำเนินการในปี 2558 ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากบริการทางการแพทย์จำนวน 341 เรื่อง ในจำนวนนี้เกี่ยวกับสถานเสริมความงาม 150 เรื่อง เช่นจมูกเบี้ยว สันจมูกเอียง แผลอักเสบหลังดูดไขมัน เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังดำเนินคดีคลินิกเสริมความงามที่ฝ่าฝืนการโฆษณา 95 คดี โดยประเด็นสำคัญที่เป็นปัญหาในการเสริมความงามของไทยที่พบในขณะนี้มี 2 เรื่องหลัก คือด้านผู้ให้บริการและการโฆษณา โดยเฉพาะการทำเลเซอร์ ซึ่งพบว่าผู้ให้บริการไม่ใช่แพทย์ แต่เป็นพนักงานอื่นๆ ที่ใช้เครื่องมือเป็น และมักจะเป็นคลินิกมากกว่าโรงพยาบาล
“จึงขอย้ำเตือนคลินิกต่างๆ แม้ว่าจะขึ้นทะเบียนถูกต้องจาก สบส. แล้วก็ตาม แต่หากใช้ผู้ให้บริการที่ไม่ใช่แพทย์ จะถือว่าเข้าข่ายหมอเถื่อน มีความผิดตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม 2525 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ ไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ดำเนินการสถานพยาบาลมีความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล 2541 มาตรา 34 (1) มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 35 (1) มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งผู้รับอนุญาตต้องร่วมรับผิดด้วย” อธิบดีกรม สบส. กล่าว
ในส่วนของการโฆษณา จะพบมากในอินเตอร์เน็ต ซึ่งตามกฎหมายห้ามสถานพยาบาลทุกแห่ง โฆษณาโอ้อวดสรรพคุณการรักษา เช่น อยากสวย สวยที่ .. ใช้อุปกรณ์นำสมัย สวยเหมือนธรรมชาติหรือลดแลกแจกแถม รวมทั้งการใช้คำโฆษณาว่า “หน้าใสสำหรับนักศึกษา” หรือคำว่า “เปลี่ยนหน้าหมองให้น่ามองดุจดาวเดือน” “ให้เปอร์เซ็นต์ส่วนลด” เป็นต้น ซึ่งถือว่าผิดกฎหมาย และก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งมีคลินิกหลายแห่งทำเช่นนี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างเรียกมาสอบสวนและดำเนินคดีต่อไป ซึ่งจะมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท และปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาทจนกว่าจะยุติการโฆษณา และหากตรวจพบว่ามีการกระทำผิดซ้ำอีก อาจพิจารณาโทษให้หนักขึ้น เช่น ปิดสถานพยาบาลเป็นต้น ในรอบ 3 เดือนมานี้ดำเนินคดีเฉลี่ยเดือนละ 10 ราย
นอกจากนี้ ยังดำเนินคดีคลินิกเสริมความงามที่ฝ่าฝืนการโฆษณา 95 คดี โดยประเด็นสำคัญที่เป็นปัญหาในการเสริมความงามของไทยที่พบในขณะนี้มี 2 เรื่องหลัก คือด้านผู้ให้บริการและการโฆษณา โดยเฉพาะการทำเลเซอร์ ซึ่งพบว่าผู้ให้บริการไม่ใช่แพทย์ แต่เป็นพนักงานอื่นๆ ที่ใช้เครื่องมือเป็น และมักจะเป็นคลินิกมากกว่าโรงพยาบาล
“จึงขอย้ำเตือนคลินิกต่างๆ แม้ว่าจะขึ้นทะเบียนถูกต้องจาก สบส. แล้วก็ตาม แต่หากใช้ผู้ให้บริการที่ไม่ใช่แพทย์ จะถือว่าเข้าข่ายหมอเถื่อน มีความผิดตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม 2525 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ ไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ดำเนินการสถานพยาบาลมีความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล 2541 มาตรา 34 (1) มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 35 (1) มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งผู้รับอนุญาตต้องร่วมรับผิดด้วย” อธิบดีกรม สบส. กล่าว
ในส่วนของการโฆษณา จะพบมากในอินเตอร์เน็ต ซึ่งตามกฎหมายห้ามสถานพยาบาลทุกแห่ง โฆษณาโอ้อวดสรรพคุณการรักษา เช่น อยากสวย สวยที่ .. ใช้อุปกรณ์นำสมัย สวยเหมือนธรรมชาติหรือลดแลกแจกแถม รวมทั้งการใช้คำโฆษณาว่า “หน้าใสสำหรับนักศึกษา” หรือคำว่า “เปลี่ยนหน้าหมองให้น่ามองดุจดาวเดือน” “ให้เปอร์เซ็นต์ส่วนลด” เป็นต้น ซึ่งถือว่าผิดกฎหมาย และก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งมีคลินิกหลายแห่งทำเช่นนี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างเรียกมาสอบสวนและดำเนินคดีต่อไป ซึ่งจะมีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท และปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาทจนกว่าจะยุติการโฆษณา และหากตรวจพบว่ามีการกระทำผิดซ้ำอีก อาจพิจารณาโทษให้หนักขึ้น เช่น ปิดสถานพยาบาลเป็นต้น ในรอบ 3 เดือนมานี้ดำเนินคดีเฉลี่ยเดือนละ 10 ราย