ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ (16 ธ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรับมือกับต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นในอนาคตได้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,749.09 จุด พุ่งขึ้น 224.18 จุด หรือ +1.28% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 5,071.13 จุด เพิ่มขึ้น 75.77 จุด หรือ +1.52% ดัชนี เอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,073.07 จุด เพิ่มขึ้น 29.66 จุด หรือ +1.45%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ในการประชุมเมื่อวานนี้ ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% อยู่ในช่วง 0.25-0.50% โดยเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2006
แถลงการณ์ภายหลังการประชุมระบุว่า เฟดคาดว่าภาวะเศรษฐกิจจะปรับตัวในลักษณะที่สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป พร้อมกับส่งสัญญาณว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และจะปรับนโยบายตามภาวะเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ เฟดยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 2.4% ในปี 2016, 2.2% ในปี 2017 และ 2.0% ในปี 2018 ส่วนอัตราเงินเฟ้อนั้น เฟดคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นจาก 0.4% ในปี 2015 สู่ระดับ 1.6% ในปี 2016 และสู่ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟด ในปี 2018
นักวิเคราะห์มองว่า ตลาดได้ซึมซับกระแสคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และการที่เฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า เฟดมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นเพียงพอที่จะปรับตัวกับต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นในอนาคตได้
ราคาหุ้นในตลาดปรับตัวขึ้นและลงคละเคล้ากันไปหลังจากที่เฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคพุ่งขึ้น 2.6% ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์และกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภคปรับตัวขึ้นอย่างน้อย 1.9% ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามราคาน้ำมันดิบ
หุ้นฮันนีเวลล์ อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน พุ่งขึ้น 5.7% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มยอดขายในปีนี้ ขณะที่หุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก พุ่งขึ้น 2.2% หลังจากมีการคาดการณ์ว่าบริษัทอาจจะเพิ่มการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นและซื้อคืนหุ้นในปีหน้า
ตลาดได้รับแรงหนุนมากขึ้นหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านเพิ่มขึ้น 10.5% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 1.173 ล้านยูนิต หลังจากดิ่งลง 12% ในเดือนต.ค. ซึ่งบ่งชี้ว่าภาวะตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่ง
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ดุลบัญชีเดินสะพัดช่วงไตรมาส 3/2558, ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจเดือนธ.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนพ.ย.จาก Conference Board
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,749.09 จุด พุ่งขึ้น 224.18 จุด หรือ +1.28% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 5,071.13 จุด เพิ่มขึ้น 75.77 จุด หรือ +1.52% ดัชนี เอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,073.07 จุด เพิ่มขึ้น 29.66 จุด หรือ +1.45%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ในการประชุมเมื่อวานนี้ ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% อยู่ในช่วง 0.25-0.50% โดยเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2006
แถลงการณ์ภายหลังการประชุมระบุว่า เฟดคาดว่าภาวะเศรษฐกิจจะปรับตัวในลักษณะที่สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป พร้อมกับส่งสัญญาณว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และจะปรับนโยบายตามภาวะเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ เฟดยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 2.4% ในปี 2016, 2.2% ในปี 2017 และ 2.0% ในปี 2018 ส่วนอัตราเงินเฟ้อนั้น เฟดคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นจาก 0.4% ในปี 2015 สู่ระดับ 1.6% ในปี 2016 และสู่ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟด ในปี 2018
นักวิเคราะห์มองว่า ตลาดได้ซึมซับกระแสคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และการที่เฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า เฟดมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นเพียงพอที่จะปรับตัวกับต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นในอนาคตได้
ราคาหุ้นในตลาดปรับตัวขึ้นและลงคละเคล้ากันไปหลังจากที่เฟดตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคพุ่งขึ้น 2.6% ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์และกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภคปรับตัวขึ้นอย่างน้อย 1.9% ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามราคาน้ำมันดิบ
หุ้นฮันนีเวลล์ อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน พุ่งขึ้น 5.7% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มยอดขายในปีนี้ ขณะที่หุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก พุ่งขึ้น 2.2% หลังจากมีการคาดการณ์ว่าบริษัทอาจจะเพิ่มการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นและซื้อคืนหุ้นในปีหน้า
ตลาดได้รับแรงหนุนมากขึ้นหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านเพิ่มขึ้น 10.5% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 1.173 ล้านยูนิต หลังจากดิ่งลง 12% ในเดือนต.ค. ซึ่งบ่งชี้ว่าภาวะตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐยังคงมีความแข็งแกร่ง
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ดุลบัญชีเดินสะพัดช่วงไตรมาส 3/2558, ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจเดือนธ.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนพ.ย.จาก Conference Board