พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายกฎหมายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. แจ้งจับพันเอกคชาชาต บุญดี หรือ เสธ.โจ้ ที่มีรายชื่อในความผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 และใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ แอบอ้างเบื้องสูง เพื่อสนับสนุนกิจกรรมสำคัญที่ได้ดำเนินการไปแล้วร่วมกับนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ หมอหยอง โดยยืนยันว่าขณะนี้มีหมายจับจริง แต่มีเพียงรายเดียว ซึ่งจะมีรายชื่อเพิ่มเติมหรือไม่นั้น จะต้องดำเนินการสืบสวนต่อ ส่วนการที่ตนออกมาปฏิเสธก่อนหน้าว่าไม่มีทหารเกี่ยวข้องกับความผิดตามมาตรา 112 นั้น เนื่องจากยังไม่มีหมายจับออกมา จึงไม่สามารถกล่าวหาใครได้ ทั้งนี้ ย้ำว่าการกระทำดังกล่าวถือเป็นเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่มีผลต่อกองทัพ
"ที่ผมบอกว่าไม่มีนายทหารเกี่ยว สื่อจะมาว่าผมไม่ได้ พูดแบบนี้ก็แย่สิ มาหาว่าผมปฏิเสธ ก็ผมไม่รู้นี่ เพราะตอนนี้เพิ่งแจ้งจับออกมา” พลเอกประวิตรกล่าว
ส่วนจะมีความเชื่อมโยงกับการทุจริตการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์หรือไม่ ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนต่อไปว่า พันเอกคชาชาต มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ พร้อมเร่งสอบสวนหาผู้กระทำผิดร่วม
ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่า พันเอกคชาชาต ได้เดินทางออกนอกประเทศไทยผ่านทางด่าน ตม.แม่สอดไปแล้วตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม และไม่ได้กลับมาทำงานที่กองทัพภาคที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน ขณะที่คณะกรรมการชายแดนไทย-เมียนมา ได้ทำหนังสือขอความร่วมมือจากคณะกรรมการชายแดนไทย เพื่อส่งตัวกลับมาดำเนินคดี และก่อนหน้านั้น เจ้าหน้าที่ของกองทัพภาคที่ 3 ได้พบจดหมายของ พันเอกคชาชาต แสดงความจำนงขอลาออกจากราชการทิ้งไว้ที่บ้านพักในจังหวัดพิษณุโลก แต่จดหมายนี้ถือว่าไม่มีผลแต่อย่างใด เพราะไม่ได้มีการยื่นตามขั้นตอน เมื่อครบกำหนด 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ 2 พ.ย. และยังไม่ได้รายงานตัวจึงขาดราชการ และนับว่าพันเอกคชาชาตหนีราชการทหาร มีโทษปลดออกจากราชการตามระเบียบกองทัพ
"ที่ผมบอกว่าไม่มีนายทหารเกี่ยว สื่อจะมาว่าผมไม่ได้ พูดแบบนี้ก็แย่สิ มาหาว่าผมปฏิเสธ ก็ผมไม่รู้นี่ เพราะตอนนี้เพิ่งแจ้งจับออกมา” พลเอกประวิตรกล่าว
ส่วนจะมีความเชื่อมโยงกับการทุจริตการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์หรือไม่ ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนต่อไปว่า พันเอกคชาชาต มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ พร้อมเร่งสอบสวนหาผู้กระทำผิดร่วม
ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่า พันเอกคชาชาต ได้เดินทางออกนอกประเทศไทยผ่านทางด่าน ตม.แม่สอดไปแล้วตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม และไม่ได้กลับมาทำงานที่กองทัพภาคที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน ขณะที่คณะกรรมการชายแดนไทย-เมียนมา ได้ทำหนังสือขอความร่วมมือจากคณะกรรมการชายแดนไทย เพื่อส่งตัวกลับมาดำเนินคดี และก่อนหน้านั้น เจ้าหน้าที่ของกองทัพภาคที่ 3 ได้พบจดหมายของ พันเอกคชาชาต แสดงความจำนงขอลาออกจากราชการทิ้งไว้ที่บ้านพักในจังหวัดพิษณุโลก แต่จดหมายนี้ถือว่าไม่มีผลแต่อย่างใด เพราะไม่ได้มีการยื่นตามขั้นตอน เมื่อครบกำหนด 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ 2 พ.ย. และยังไม่ได้รายงานตัวจึงขาดราชการ และนับว่าพันเอกคชาชาตหนีราชการทหาร มีโทษปลดออกจากราชการตามระเบียบกองทัพ
