หลัง พล.ต.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหมให้ประสานความร่วมมือวางแนวทางปฎิบัติในการป้องกันและกวาดล้างผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นให้หมดไปภายใน 6 เดือน ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบังคับการปราบปราม เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้
โดย พล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี ผบก.ป. ยืนยันว่า ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ติดตามและเฝ้าระวังกลุ่มผู้ที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายมาเฟีย และผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศอย่างเต็มที่โดยมีเป้าหมายอยู่พอสมควร แต่ไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้ โดยกลุ่มที่เฝ้าติดตามพฤติการณ์อยู่มีทั้งที่เป็นนักการเมือง นักธุรกิจ และกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลในพื้นที่ โดยในภาคเหนือ เฝ้าติดตามพฤติการณ์มากเป็นพิเศษใน จ.นครสวรรค์ และ จ.อุทัยธานี เพราะมีข้อมูลว่าผู้มีอิทธิพลในพื้นที่มีการประกอบธุรกิจที่ผิดกฎหมายและส่องสุมอาวุธเป็นจำนวนมากส่วนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กองบังคับการปราบปรามมีการวางกำลังตำรวจในพื้นที่ จ.อุดรธานี ขอนแก่น และ จ.นครราชสีมา เพราะเป็นพื้นที่ที่มีผู้มีอิทธิพลมีการกระทำการที่ผิดกฎหมาย มีประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากอิทธิพลของคนกลุ่มนี้ ซึ่งมีข้อมูลอยู่พอสมควร
พล.ต.ต.อัคราเดช กล่าวต่อว่าในพื้นที่ภาคกลาง จ.พระนครศรีอยุธยา คือพื้นที่เป้าหมาย ส่วนภาคตะวันออกคือ จ.ปราจีนบุรี ขณะที่ภาคใต้ คือ จ.นครศรีธรรมราช และ จ.พัทลุง ซึ่งได้กำชับให้ตำรวจกองกำกับการ 6 กดดันกวาดล้างปราบปรามให้ได้ โดยมีเป้าหมายที่ต้องดำเนินการหลายราย ซึ่งก่อนหน้านี้เพิ่งจู่โจมตรวจค้นตามยุทธการประจัญบานคนพาล เมืองลุง เมืองคอน ไปแล้วเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
สำหรับแนวทางการป้องกันและปราบปรามกลุ่มผู้มีอิทธิพลนั้น ชุดสืบสวนของกองปราบปรามอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกทั้งเรื่องพฤติการณ์ของแต่ละบุคคล รวมถึงการตรวจสอบเกี่ยวกับที่มาของทรัพย์สินที่บุคคลเหล่านั้นครอบครองว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร
โดย พล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี ผบก.ป. ยืนยันว่า ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ติดตามและเฝ้าระวังกลุ่มผู้ที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายมาเฟีย และผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศอย่างเต็มที่โดยมีเป้าหมายอยู่พอสมควร แต่ไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้ โดยกลุ่มที่เฝ้าติดตามพฤติการณ์อยู่มีทั้งที่เป็นนักการเมือง นักธุรกิจ และกลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลในพื้นที่ โดยในภาคเหนือ เฝ้าติดตามพฤติการณ์มากเป็นพิเศษใน จ.นครสวรรค์ และ จ.อุทัยธานี เพราะมีข้อมูลว่าผู้มีอิทธิพลในพื้นที่มีการประกอบธุรกิจที่ผิดกฎหมายและส่องสุมอาวุธเป็นจำนวนมากส่วนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กองบังคับการปราบปรามมีการวางกำลังตำรวจในพื้นที่ จ.อุดรธานี ขอนแก่น และ จ.นครราชสีมา เพราะเป็นพื้นที่ที่มีผู้มีอิทธิพลมีการกระทำการที่ผิดกฎหมาย มีประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากอิทธิพลของคนกลุ่มนี้ ซึ่งมีข้อมูลอยู่พอสมควร
พล.ต.ต.อัคราเดช กล่าวต่อว่าในพื้นที่ภาคกลาง จ.พระนครศรีอยุธยา คือพื้นที่เป้าหมาย ส่วนภาคตะวันออกคือ จ.ปราจีนบุรี ขณะที่ภาคใต้ คือ จ.นครศรีธรรมราช และ จ.พัทลุง ซึ่งได้กำชับให้ตำรวจกองกำกับการ 6 กดดันกวาดล้างปราบปรามให้ได้ โดยมีเป้าหมายที่ต้องดำเนินการหลายราย ซึ่งก่อนหน้านี้เพิ่งจู่โจมตรวจค้นตามยุทธการประจัญบานคนพาล เมืองลุง เมืองคอน ไปแล้วเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
สำหรับแนวทางการป้องกันและปราบปรามกลุ่มผู้มีอิทธิพลนั้น ชุดสืบสวนของกองปราบปรามอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกทั้งเรื่องพฤติการณ์ของแต่ละบุคคล รวมถึงการตรวจสอบเกี่ยวกับที่มาของทรัพย์สินที่บุคคลเหล่านั้นครอบครองว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร