นายเกษมสันต์ จิณณวาโส ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ที่มีพล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบให้ขึ้นบัญชีสัตว์สงวน 4 ชนิด คือ วาฬบรูด้า วาฬโอมุระ ฉลามวาฬ และเต่ามะเฟือง เป็นสัตว์สงวนลำดับที่ 16-19 ของประเทศไทย ภายใต้กฎหมายสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 เพิ่มเติมแล้ว
ส่วนอีก 12 ชนิดให้บรรจุเป็นสัตว์คุ้มครอง คือกลุ่มปลาโรนิน กระเบนแมนต้า กระเบนปีศาจ ราหูน้ำจืด ปลากระเบนแมนต้ายักษ์ ปลากระเบนแมนต้า ปะการัง ปลากระเบนปีศาจครีบสั้น ปลากระเบนปีศาจหางหนาม ปลากระเบนปีศาจครีบโค้ง ปลากระเบนปีศาจแคระ และปลากระเบนเจ้าพระยา คาดว่าจะเหลือในลำน้ำสายหลักไม่เกิน 200 ตัว ถือเป็นครั้งแรกที่จะมีการบรรจุสัตว์ทะเลหายากเข้าบัญชีสัตว์คุ้มครอง เนื่องจากสถานภาพประชากรค่อนข้างหายากมาก เช่น วาฬบรูด้าในท้องทะเลไทยน่าจะมีอาศัยอยู่ไม่เกิน 100 ตัว ส่วนวาฬโอมุระ มีประมาณ 20 ตัว ขณะที่ฉลามวาฬเหลือเพียง 100 ตัว และเต่ามะเฟืองไม่มีประชากรที่แน่ชัดรับทราบจากการสำรวจ พบว่ามีการทำรังวางไข่ปีละไม่ถึง 10 รัง
ทั้งนี้การประกาศคุ้มครองครั้งนี้จะช่วยด้านการอนุรักษ์สัตว์เหล่านี้ไม่ให้สูญพันธุ์ และที่สำคัญมีบทลงโทษสำหรับบุคคลที่อาจจะจับ หรือล่าสัตว์หรือฆ่าสัตว์ทะเลกลุ่มนี้ จะถูกโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท โดยจะเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาอนุมัติ จากนั้นจะประกาศลงในกฎกระทรวงเพิ่มเติมต่อไป
ส่วนอีก 12 ชนิดให้บรรจุเป็นสัตว์คุ้มครอง คือกลุ่มปลาโรนิน กระเบนแมนต้า กระเบนปีศาจ ราหูน้ำจืด ปลากระเบนแมนต้ายักษ์ ปลากระเบนแมนต้า ปะการัง ปลากระเบนปีศาจครีบสั้น ปลากระเบนปีศาจหางหนาม ปลากระเบนปีศาจครีบโค้ง ปลากระเบนปีศาจแคระ และปลากระเบนเจ้าพระยา คาดว่าจะเหลือในลำน้ำสายหลักไม่เกิน 200 ตัว ถือเป็นครั้งแรกที่จะมีการบรรจุสัตว์ทะเลหายากเข้าบัญชีสัตว์คุ้มครอง เนื่องจากสถานภาพประชากรค่อนข้างหายากมาก เช่น วาฬบรูด้าในท้องทะเลไทยน่าจะมีอาศัยอยู่ไม่เกิน 100 ตัว ส่วนวาฬโอมุระ มีประมาณ 20 ตัว ขณะที่ฉลามวาฬเหลือเพียง 100 ตัว และเต่ามะเฟืองไม่มีประชากรที่แน่ชัดรับทราบจากการสำรวจ พบว่ามีการทำรังวางไข่ปีละไม่ถึง 10 รัง
ทั้งนี้การประกาศคุ้มครองครั้งนี้จะช่วยด้านการอนุรักษ์สัตว์เหล่านี้ไม่ให้สูญพันธุ์ และที่สำคัญมีบทลงโทษสำหรับบุคคลที่อาจจะจับ หรือล่าสัตว์หรือฆ่าสัตว์ทะเลกลุ่มนี้ จะถูกโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท โดยจะเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาอนุมัติ จากนั้นจะประกาศลงในกฎกระทรวงเพิ่มเติมต่อไป