เมื่อวันที่ 7 กันยายน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ระดับผู้บัญชาการ (ผบช.) จนถึงระดับสารวัตรขึ้นไปจากทุกด่านตรวจคนเข้าเมือง 54 แห่งทั่วประเทศ รวม 259 คน เพื่อมอบนโยบาย ในการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและรัฐบาล โดยมี พล.ต.อ.จักทิพย์ ชัยจินดา รองผบ.ตร. ว่าที่ผบ.ตร. พล.ต.ท.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา และ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร. ร่วมรับฟังนโยบายด้วย
ทั้งนี้่ พล.ต.อ.สมยศได้ขึ้นมอบนโยบาย โดยกำชับให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองให้ความสำคัญในเรื่องการดูแลด้านความมั่นคง เพราะส่งผลกระทบต่อประเทศชาติ ทั้งนี้ ผบ.ตร.ได้แจกเอกสาร “พฤติกรรมเจ้าหน้าที่ ตม. ที่มีผลต่อความมั่นคงและศักดิ์ศรีของตำรวจไทย” แก่ตำรวจตม.ที่เข้าประชุมทุกนาย ประกอบการมอบนโยบาย โดยมีใจความว่า พฤติกรรมเจ้าหน้าที่ ตม. ที่มีผลต่อความมั่นคงและศักดิ์ศรีของตำรวจไทย คือ
1. การรับจ้างทำเรื่องขออยู่ต่อในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย โดยมีตำรวจตม.บางกลุ่มทำธุรกิจรับจ้างขยายเวลาการอยู่ในประเทศไทย โดยการทุจริตต่าง ๆ เพื่อให้เข้าเงื่อนไขของการขยายเวลาการอยู่ในประเทศ เช่น การเปลี่ยนวีซ่าจากประเภทนักท่องเที่ยว เป็นวีซ่านักธุรกิจโดยมิชอบ บางรายใช้วิธีการให้วีซ่านักศึกษา โดยการจัดหาสถานศึกษาโดยไม่ต้องเข้าเรียน ซึ่งปัจจุบันค่าจ้างประมาณ 12,000 – 15,000 บาท นอกจากนี้ยังมีวิธีรับจ้างทำสมุดบัญชีเงินฝากให้มีเงินในบัญชีไม่น้อยกว่า 800,000 บาท เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขการอยู่อาศัยในช่วงบั่นปลายชีวิต เรียกเก็บค่าตอบแทนมากว่า 3,000 บาท
2. พบพฤติกรรมตำรวจตม. ที่ทำ อิน-เอ้าท์ หรือพิธีการเข้า-ออกประเทศ โดยไม่ถูกต้อง ทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าชาวต่างชาติต้องการอยู่ในประเทศไทยโดยไม่มีเหตุอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย ใช้วิธีแนะนำชาวต่างชาติที่ต้องการอยู่ต่อโดยไม่มีเหตุผลอ้างตามกฎหมายให้เดินทางไปที่ด่าน ตม. กาญจนบุรี และ ตม. สระแก้ว เพื่อให้รับรองการเดินทางออกและเข้าประเทศ เพื่อขยายระยะเวลาในการอยู่ในประเทศไทยไปอีกครั้งละ 15 วัน
3. มีการยินยอมให้คนเข้าออกเมืองโดยผิดกฎหมาย รับเงินสินบนให้คนเข้าเมืองได้อย่างผิดกฎหมาย ทั้งกรณีที่ไม่มีหนังสือเดินทาง และมีหนังสือเดินทางแต่ไม่ลงข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นช่องทางของการค้ามนุษย์
4. มีการประทับตราการเดินทางเท็จเพื่อส่งคนไปประเทศที่ 3 เจ้าหน้าที่ ตม. บางคนได้ลักลอบนำตราประทับไปรับรองการเดินทางเข้าและออกว่า บุคคลดังกล่าวเคยเดินทางมายังประเทศไทย เพื่อให้ปรากฏประเทศต้นทางและใช้อ้างในการเดินทางไปยังประเทศที่ 3
5. มีพฤติกรรมขายบัตร ตม.6 ที่เป็นเอกสารเข้าออก-ทำงานในไทย โดยพบในด่านตม.ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น มุกดาหาร หนองคาย มีการขาย แบบ ตม.6 ให้แก่ชาวลาวและเวียดนามที่เดินทางทางเข้ามาทางานในประเทศไทย โดยหากผู้ใดใช้แบบฟอร์มจากที่อื่นซึ่งไม่ได้ซื้อก็จะกล่าวหาว่าเป็นแบบฟอร์มปลอม ซึ่งกรณีเช่นนี้เคยถูกผู้เดินทางบันทึกภาพและร้องเรียนมาแล้วเมื่อประมาณ 4-5 เดือนก่อน แต่ปรากฏว่าด่าน ตม. มุกดาหาร ได้ตรวจหาผู้ที่บันทึกภาพและเรียกคนดังกล่าวมาเพื่อให้ลบภาพต่อหน้า แล้วข่มขู่ให้ ให้การว่าเข้าใจผิด จากนั้นก็อำพรางการกระทำผิดด้วยการได้ติดฟิล์มตู้เก็บเงินจนมืด และมีเจ้าหน้าที่ตรวจตราไม่ให้คนบันทึกภาพ โดยยังเรียกเก็บเงินเช่นเดิม และ
6. มีบางคนทำ VISA on Arriva (การขอวีซ่า ณ ด่าน ตม.) นอกเหนือจากค่าธรรมเนียม โดยพบที่ในด่าน ตม.สุวรรณภูมิ ตม.ดอนเมือง พบมีการเรียกเก็บเงินค่าทำ VISA on Arrival นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมของทางราชการ เป็นเงิน 300 – 500 บาท ต่อคน แต่ละวันประมาณมีผู้ต้องจ่าย 6,000 คน เฉลี่ยเรียกเก็บคนละ 300 บาท คิดเป็นเงินกว่า 1,800,000 บาท ต่อวัน โดยไม่ทราบว่าเงินดังกล่าวถูกแบ่งไปยังใครบ้าง
ทั้งนี้่ พล.ต.อ.สมยศได้ขึ้นมอบนโยบาย โดยกำชับให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองให้ความสำคัญในเรื่องการดูแลด้านความมั่นคง เพราะส่งผลกระทบต่อประเทศชาติ ทั้งนี้ ผบ.ตร.ได้แจกเอกสาร “พฤติกรรมเจ้าหน้าที่ ตม. ที่มีผลต่อความมั่นคงและศักดิ์ศรีของตำรวจไทย” แก่ตำรวจตม.ที่เข้าประชุมทุกนาย ประกอบการมอบนโยบาย โดยมีใจความว่า พฤติกรรมเจ้าหน้าที่ ตม. ที่มีผลต่อความมั่นคงและศักดิ์ศรีของตำรวจไทย คือ
1. การรับจ้างทำเรื่องขออยู่ต่อในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย โดยมีตำรวจตม.บางกลุ่มทำธุรกิจรับจ้างขยายเวลาการอยู่ในประเทศไทย โดยการทุจริตต่าง ๆ เพื่อให้เข้าเงื่อนไขของการขยายเวลาการอยู่ในประเทศ เช่น การเปลี่ยนวีซ่าจากประเภทนักท่องเที่ยว เป็นวีซ่านักธุรกิจโดยมิชอบ บางรายใช้วิธีการให้วีซ่านักศึกษา โดยการจัดหาสถานศึกษาโดยไม่ต้องเข้าเรียน ซึ่งปัจจุบันค่าจ้างประมาณ 12,000 – 15,000 บาท นอกจากนี้ยังมีวิธีรับจ้างทำสมุดบัญชีเงินฝากให้มีเงินในบัญชีไม่น้อยกว่า 800,000 บาท เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขการอยู่อาศัยในช่วงบั่นปลายชีวิต เรียกเก็บค่าตอบแทนมากว่า 3,000 บาท
2. พบพฤติกรรมตำรวจตม. ที่ทำ อิน-เอ้าท์ หรือพิธีการเข้า-ออกประเทศ โดยไม่ถูกต้อง ทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าชาวต่างชาติต้องการอยู่ในประเทศไทยโดยไม่มีเหตุอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย ใช้วิธีแนะนำชาวต่างชาติที่ต้องการอยู่ต่อโดยไม่มีเหตุผลอ้างตามกฎหมายให้เดินทางไปที่ด่าน ตม. กาญจนบุรี และ ตม. สระแก้ว เพื่อให้รับรองการเดินทางออกและเข้าประเทศ เพื่อขยายระยะเวลาในการอยู่ในประเทศไทยไปอีกครั้งละ 15 วัน
3. มีการยินยอมให้คนเข้าออกเมืองโดยผิดกฎหมาย รับเงินสินบนให้คนเข้าเมืองได้อย่างผิดกฎหมาย ทั้งกรณีที่ไม่มีหนังสือเดินทาง และมีหนังสือเดินทางแต่ไม่ลงข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นช่องทางของการค้ามนุษย์
4. มีการประทับตราการเดินทางเท็จเพื่อส่งคนไปประเทศที่ 3 เจ้าหน้าที่ ตม. บางคนได้ลักลอบนำตราประทับไปรับรองการเดินทางเข้าและออกว่า บุคคลดังกล่าวเคยเดินทางมายังประเทศไทย เพื่อให้ปรากฏประเทศต้นทางและใช้อ้างในการเดินทางไปยังประเทศที่ 3
5. มีพฤติกรรมขายบัตร ตม.6 ที่เป็นเอกสารเข้าออก-ทำงานในไทย โดยพบในด่านตม.ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น มุกดาหาร หนองคาย มีการขาย แบบ ตม.6 ให้แก่ชาวลาวและเวียดนามที่เดินทางทางเข้ามาทางานในประเทศไทย โดยหากผู้ใดใช้แบบฟอร์มจากที่อื่นซึ่งไม่ได้ซื้อก็จะกล่าวหาว่าเป็นแบบฟอร์มปลอม ซึ่งกรณีเช่นนี้เคยถูกผู้เดินทางบันทึกภาพและร้องเรียนมาแล้วเมื่อประมาณ 4-5 เดือนก่อน แต่ปรากฏว่าด่าน ตม. มุกดาหาร ได้ตรวจหาผู้ที่บันทึกภาพและเรียกคนดังกล่าวมาเพื่อให้ลบภาพต่อหน้า แล้วข่มขู่ให้ ให้การว่าเข้าใจผิด จากนั้นก็อำพรางการกระทำผิดด้วยการได้ติดฟิล์มตู้เก็บเงินจนมืด และมีเจ้าหน้าที่ตรวจตราไม่ให้คนบันทึกภาพ โดยยังเรียกเก็บเงินเช่นเดิม และ
6. มีบางคนทำ VISA on Arriva (การขอวีซ่า ณ ด่าน ตม.) นอกเหนือจากค่าธรรมเนียม โดยพบที่ในด่าน ตม.สุวรรณภูมิ ตม.ดอนเมือง พบมีการเรียกเก็บเงินค่าทำ VISA on Arrival นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมของทางราชการ เป็นเงิน 300 – 500 บาท ต่อคน แต่ละวันประมาณมีผู้ต้องจ่าย 6,000 คน เฉลี่ยเรียกเก็บคนละ 300 บาท คิดเป็นเงินกว่า 1,800,000 บาท ต่อวัน โดยไม่ทราบว่าเงินดังกล่าวถูกแบ่งไปยังใครบ้าง