นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนพร้อมด้วยอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จำนวนหนึ่ง ขอคัดค้านการตั้งกระทรวงตำรวจตามข้อเสนอของ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมายกระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) พวกตนมีเหตุผล 7 ประการที่จะคัดค้าน ประกอบด้วย
1.เป็นการรวมศูนย์ รวบอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง 2.สร้างองค์กรใหม่ให้โตขึ้นโดยไม่จำเป็น เป็นภาระกับงบประมาณแผ่นดิน 3.ไม่ได้แก้ไขปัญหาการให้ความเป็นธรรมกับประชาชน เพราะตำรวจชั้นผู้ใหญ่ยังสั่งพนักงานสอบสวนได้ 4.เป็นข้อเสนอของนายพลที่จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน ที่พยายามคุมพนักงานสอบสวน โดยล่าสุดมีการสัมมนาของพนักงานสอบสวน 120 คน และมีการพูดข่มขู่พนักงานสอบสวนไม่ให้แยกอำนาจการสอบสวนออกจาก สตช.แสดงให้เห็นว่ามีการแบ่งพรรคแบ่งพวก โดยพวกที่จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน ทำให้ตำรวจพูดกันว่ากลัวนายยิ่งกว่าโจร
นายวัชระ กล่าวต่อว่า 5.ต้องมีนักการเมืองเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการ หรือมีอดีต ผบ.ตร.อยากเข้ามาเป็นรัฐมนตรี จึงพยายามผลักดันให้เกิดขึ้น 6.การผลักดันของ สนช.สวนทางกับแนวทางของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ที่ให้รอรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเข้ามาปฏิรูปตำรวจแทน และ 7.ในการแถลงนโยบายของรัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะตั้งกระทรวงเพิ่ม ดังนั้นตนเตรียมจะยื่นหนังสือคัดค้านต่อนายกรัฐมนตรี และนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ในเร็วๆ นี้ เพราะเห็นว่าการปฏิรูปตำรวจควรจะเป็นไปตามแนวทางของ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป สมาชิก สนช.ที่ต้องการแยกอำนาจสอบสวนออกจาก สตช.และกระจายอำนาจไปในท้องที่
นายวัชระ กล่าวอีกว่า และขอเรียกร้องให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)เข้ามาตรวจสอบงบราชการลับของ สตช.ว่า ได้ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนจริงหรือไม่ เพราะทราบว่าปี 2558 สตช.มีงบราชการลับสูงถึง 130 ล้านบาท และในการพิจารณางบประมาณปี 2559 ของ สนช.ยังได้อนุมัติงบราชการลับเพิ่มอีกจำนวน 130 ล้านบาท แต่เมื่อเกิดเหตุระเบิดที่ราชประสงค์ช่วงที่ผ่านมา ผบ.ตร.กลับตั้งรางวัลจับคนร้ายเพียง 1 ล้านบาท และไม่ได้ระบุว่าเป็นเงินส่วนตัวหรืองบลับ และจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถจับคนร้ายได้แม้แต่รายเดียวทำให้รู้สึกสิ้นหวังกับการทำงานของ สตช. อยากทราบว่านำงบลับไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ขอให้เปิดเผยรายละเอียดชี้แจงเพื่อให้ประชาชนรับทราบ เพราะในอดีตมีอดีต ผบ.ตร.บางคน เอางบลับกลับบ้านถึง 30 ล้านบาท ขณะที่คดีถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีก็ยังล่าช้า ในวันที่ 31 ส.ค.นี้ ตนจะไปยื่นหนังสือที่ศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบฯ เพื่อสอบถามความคืบหน้าเรื่องดังกล่าว
1.เป็นการรวมศูนย์ รวบอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง 2.สร้างองค์กรใหม่ให้โตขึ้นโดยไม่จำเป็น เป็นภาระกับงบประมาณแผ่นดิน 3.ไม่ได้แก้ไขปัญหาการให้ความเป็นธรรมกับประชาชน เพราะตำรวจชั้นผู้ใหญ่ยังสั่งพนักงานสอบสวนได้ 4.เป็นข้อเสนอของนายพลที่จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน ที่พยายามคุมพนักงานสอบสวน โดยล่าสุดมีการสัมมนาของพนักงานสอบสวน 120 คน และมีการพูดข่มขู่พนักงานสอบสวนไม่ให้แยกอำนาจการสอบสวนออกจาก สตช.แสดงให้เห็นว่ามีการแบ่งพรรคแบ่งพวก โดยพวกที่จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน ทำให้ตำรวจพูดกันว่ากลัวนายยิ่งกว่าโจร
นายวัชระ กล่าวต่อว่า 5.ต้องมีนักการเมืองเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการ หรือมีอดีต ผบ.ตร.อยากเข้ามาเป็นรัฐมนตรี จึงพยายามผลักดันให้เกิดขึ้น 6.การผลักดันของ สนช.สวนทางกับแนวทางของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ที่ให้รอรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเข้ามาปฏิรูปตำรวจแทน และ 7.ในการแถลงนโยบายของรัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะตั้งกระทรวงเพิ่ม ดังนั้นตนเตรียมจะยื่นหนังสือคัดค้านต่อนายกรัฐมนตรี และนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ในเร็วๆ นี้ เพราะเห็นว่าการปฏิรูปตำรวจควรจะเป็นไปตามแนวทางของ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป สมาชิก สนช.ที่ต้องการแยกอำนาจสอบสวนออกจาก สตช.และกระจายอำนาจไปในท้องที่
นายวัชระ กล่าวอีกว่า และขอเรียกร้องให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)เข้ามาตรวจสอบงบราชการลับของ สตช.ว่า ได้ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนจริงหรือไม่ เพราะทราบว่าปี 2558 สตช.มีงบราชการลับสูงถึง 130 ล้านบาท และในการพิจารณางบประมาณปี 2559 ของ สนช.ยังได้อนุมัติงบราชการลับเพิ่มอีกจำนวน 130 ล้านบาท แต่เมื่อเกิดเหตุระเบิดที่ราชประสงค์ช่วงที่ผ่านมา ผบ.ตร.กลับตั้งรางวัลจับคนร้ายเพียง 1 ล้านบาท และไม่ได้ระบุว่าเป็นเงินส่วนตัวหรืองบลับ และจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถจับคนร้ายได้แม้แต่รายเดียวทำให้รู้สึกสิ้นหวังกับการทำงานของ สตช. อยากทราบว่านำงบลับไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ขอให้เปิดเผยรายละเอียดชี้แจงเพื่อให้ประชาชนรับทราบ เพราะในอดีตมีอดีต ผบ.ตร.บางคน เอางบลับกลับบ้านถึง 30 ล้านบาท ขณะที่คดีถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีก็ยังล่าช้า ในวันที่ 31 ส.ค.นี้ ตนจะไปยื่นหนังสือที่ศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบฯ เพื่อสอบถามความคืบหน้าเรื่องดังกล่าว