เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 27 ส.ค.58 ที่ห้องพิจารณา 910 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีดำ 3770/2544 ที่พนักงานอัยการกองคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวินัย พานิชยานุบาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทสหวนกิจ (1999) จำกัด ซึ่งเป็นพ่อค้าไม้รายใหญ่ ในจังหวัดภาคเหนือ และนายประวัติ ถนัดค้า อดีตรองอธิบดีกรมป่าไม้ เป็นจำเลยที่ 1-2 ฐานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.144 และ ม.149 เป็นผู้ให้และรับสินบน เพื่อจูงใจให้เจ้าพนักงาน ใช้ตำแหน่งหน้าที่กระทำการโดยทุจริต
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2548 ว่าโจทก์มีพนักงานธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้เบิกเงินจำนวน 5 ล้านบาท ออกไป หลังจากเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ได้ทำการตรวจสอบ และอายัดไม้สักท่อน ของบริษัท สหวนกิจฯ มูลค่า 180 ล้านบาท มาเบิกความยืนยัน ซึ่งสอดคล้องกับพยานแวดล้อมปากอื่นๆ ที่เป็นพนักงานสอบสวนในคดีว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถอนเงิน จำนวน 5 ล้านบาท แล้วนำไปบรรจุไว้ในกล่องกระดาษ โดยใส่ไว้ในกระเป๋า แล้วนำไปให้จำเลยที่ 2 ที่บ้านพัก ซึ่งพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
นอกจากนี้ โจทก์ยังมีพนักงานธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบางเขน เป็นพยานยืนยันว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้มาเบิกเงินด้วยตัวเอง สอดคล้องกับผลการตรวจลายนิ้วมือบนธนบัตร พบลายนิ้วมือของจำเลยทั้งสอง จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ขอให้จำเลยที่ 2 ปล่อยไม้ที่อายัด เป็นความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงาน เพื่อไม่กระทำการตามหน้าที่โดยทุจริตตาม ป.อาญา ม.144
พิพากษาจำคุก นายวินัย พานิชยานุบาล เจ้าของบริษัท สหวนกิจ (1999) จำกัด พ่อค้าไม้รายใหญ่ ในจังหวัดภาคเหนือ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี และให้จำคุกนายประวัติ ถนัดค้า อดีตรองอธิบดีกรมป่าไม้ จำเลยที่ 2 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบน เพื่อไม่กระทำการตามหน้าที่โดยทุจริตตาม ป.อาญา ม.149 เป็นเวลา 5 ปี
ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลรอลงอาญา เพราะไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 มีความร้ายแรง ที่ศาลชั้นต้นลงโทษ 2 ปี นับว่าสาสมแก่โทษแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง จึงไม่สมควรรอลงอาญา พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ต่อมาจำเลยที่ 1 และ 2 ยื่นฎีกาขอให้ยกฟ้อง โดยในวันนี้ นายวินัย จำเลยที่ 1 และ นายประวัติ จำเลยที่ 2 ไม่ได้มาศาล มีเพียงนายศุภ์พะกิจ กีรติสุนทร ทนายความจำเลยที่ 1 พร้อมภรรยานายประวัติ จำเลยที่ 2 และทนายความจำเลยที่ 2 เดินทางมาศาล โดยทนายความของจำเลยที่ 1 แถลงต่อศาลว่า จำเลยที่ 1 ป่วยด้วยโรคเบาหวาน และยังคงนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลพร้อมแสดงเอกสารหลักฐานใบรับรองแพทย์
ขณะที่ นายสุชาติ วันทะยา ทนายความ จำเลยที่ 2 แถลงต่อศาลว่า จำเลยที่ 2 ได้ถึงแก่ความตาย ตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2554 พร้อมแสดงหลักฐานใบมรณบัตรต่อศาล ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายประวัติ จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตายในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จึงให้รวบรวมสำนวนพร้อมซองคำพิพากษาส่งคืนไปยังศาลฎีกาเพื่อดำเนินการ และนัดฟังคำพิพากษาต่อไป
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2548 ว่าโจทก์มีพนักงานธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้เบิกเงินจำนวน 5 ล้านบาท ออกไป หลังจากเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ได้ทำการตรวจสอบ และอายัดไม้สักท่อน ของบริษัท สหวนกิจฯ มูลค่า 180 ล้านบาท มาเบิกความยืนยัน ซึ่งสอดคล้องกับพยานแวดล้อมปากอื่นๆ ที่เป็นพนักงานสอบสวนในคดีว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถอนเงิน จำนวน 5 ล้านบาท แล้วนำไปบรรจุไว้ในกล่องกระดาษ โดยใส่ไว้ในกระเป๋า แล้วนำไปให้จำเลยที่ 2 ที่บ้านพัก ซึ่งพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
นอกจากนี้ โจทก์ยังมีพนักงานธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาบางเขน เป็นพยานยืนยันว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้มาเบิกเงินด้วยตัวเอง สอดคล้องกับผลการตรวจลายนิ้วมือบนธนบัตร พบลายนิ้วมือของจำเลยทั้งสอง จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ขอให้จำเลยที่ 2 ปล่อยไม้ที่อายัด เป็นความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงาน เพื่อไม่กระทำการตามหน้าที่โดยทุจริตตาม ป.อาญา ม.144
พิพากษาจำคุก นายวินัย พานิชยานุบาล เจ้าของบริษัท สหวนกิจ (1999) จำกัด พ่อค้าไม้รายใหญ่ ในจังหวัดภาคเหนือ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี และให้จำคุกนายประวัติ ถนัดค้า อดีตรองอธิบดีกรมป่าไม้ จำเลยที่ 2 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบน เพื่อไม่กระทำการตามหน้าที่โดยทุจริตตาม ป.อาญา ม.149 เป็นเวลา 5 ปี
ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลรอลงอาญา เพราะไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 มีความร้ายแรง ที่ศาลชั้นต้นลงโทษ 2 ปี นับว่าสาสมแก่โทษแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง จึงไม่สมควรรอลงอาญา พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ต่อมาจำเลยที่ 1 และ 2 ยื่นฎีกาขอให้ยกฟ้อง โดยในวันนี้ นายวินัย จำเลยที่ 1 และ นายประวัติ จำเลยที่ 2 ไม่ได้มาศาล มีเพียงนายศุภ์พะกิจ กีรติสุนทร ทนายความจำเลยที่ 1 พร้อมภรรยานายประวัติ จำเลยที่ 2 และทนายความจำเลยที่ 2 เดินทางมาศาล โดยทนายความของจำเลยที่ 1 แถลงต่อศาลว่า จำเลยที่ 1 ป่วยด้วยโรคเบาหวาน และยังคงนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลพร้อมแสดงเอกสารหลักฐานใบรับรองแพทย์
ขณะที่ นายสุชาติ วันทะยา ทนายความ จำเลยที่ 2 แถลงต่อศาลว่า จำเลยที่ 2 ได้ถึงแก่ความตาย ตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2554 พร้อมแสดงหลักฐานใบมรณบัตรต่อศาล ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายประวัติ จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตายในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จึงให้รวบรวมสำนวนพร้อมซองคำพิพากษาส่งคืนไปยังศาลฎีกาเพื่อดำเนินการ และนัดฟังคำพิพากษาต่อไป