ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานอบรม โครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง 2558 ในหัวข้อ "ภาพรวมการฟื้นตัว และแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย" ว่า เศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy) นับว่ามีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตในรูปแบบใหม่ ตัวอย่าง เช่น งานสร้างหนังแอนนิเมชั่น เห็นว่าอุตสาหกรรมดังกล่าวคนไทยเก่งมาก จึงต้องให้การส่งเสริม การใช้ระบบดิจิตอลกับการบริการทางการเงินของสถาบันการเงิน การใช้กับระบบการศึกษา เพื่อเรียนรู้จากทุกช่องทางสำหรับนักเรียนนักศึกษา การใช้ดิจิตอลกับระบบสาธารณสุข
ทั้งนี้ รัฐบาลจึงวางระบบโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจดิจิตอลด้วยการวางระบบเครือข่าย เพื่อกระจายระบบบรอดแบนด์ให้ทุกครัวเรือนเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงภายในสิ้นปี 2559 และเข้าถึงได้ทุกคนในปี 2560 การพัฒนาระบบเกตเวย์ โดยส่งเสริมให้ TOT, CAT ร่วมขยายโครงข่ายรองรับการใช้บริการได้มากขึ้นจากเดิม 3-4 เท่า จากนั้นคุมราคาค่าเช่าให้ถูกลงเหลือ 7 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้การเข้าถึงได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ยังพัฒนาระบบ Data Center เนื่องจากขณะนี้ส่วนราชการของไทยมีค่าใช้จ่ายดูแลประมาณ 8,000 ล้านบาทต่อปี นับว่าใช้เงินค่าดูแลระบบสูงมาก เมื่อสร้างศูนย์ข้อมูลขี้นมาใหม่ ขนาดใหญ่ที่สุดของอาเซียน เพื่อให้ส่วนราชการ บริษัทเอกชนใช้บริการ โดยไม่รวมกับระบบความมั่นคง คาดว่าในช่วงเดือนตุลาคมนี้ จะเปิดประมูลการวางระบบได้สำเร็จ จะทำให้ต้นทุนการใช้ระบบของส่วนราชการถูกลง
รวมทั้งการใช้ระบบ E-Goverment เพื่อให้ประชาชนรับบริการจากหน่วยงานภาครัฐ โดยใช้เพียงบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดเสียบเครื่องบริการ รวมทั้งการต่อสัญญาใบอนุญาตทางอินเตอร์กับส่วนราชการ และยังมีระบบ Digital Promotion ซี่งเป็นระบบสนันสนุนทุกด้านให้มีความสำเร็จ นับว่าเป็นกลไกที่มีความสำคัญมาก เช่น การเปิดศูนย์การเรียนรู้ทางไกลผ่านอินเตอร์เน็ตเพิ่มเป็น 15,000 แห่ง เพื่อให้นักเรียนต่างจังหวัดได้เรียนรู้จากครู อาจารย์เหมือนกับเด็กในกรุงเทพฯ เพื่อให้เรียนได้พร้อมกัน เนื่องจากทิศทางด้านเศรษฐกิจดิจิตอลมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น เนื่องจากการดำรงชีพอนาคตจะเริ่มเทียบชั้นกับสิงคโปร์ ญี่ปุ่น อินเดีย ด้วยการค้นคว้าข้อมูล การรับบริการผ่านระบบไอทีด้วยความสมบูรณ์มากขึ้น
ทั้งนี้ รัฐบาลจึงวางระบบโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจดิจิตอลด้วยการวางระบบเครือข่าย เพื่อกระจายระบบบรอดแบนด์ให้ทุกครัวเรือนเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงภายในสิ้นปี 2559 และเข้าถึงได้ทุกคนในปี 2560 การพัฒนาระบบเกตเวย์ โดยส่งเสริมให้ TOT, CAT ร่วมขยายโครงข่ายรองรับการใช้บริการได้มากขึ้นจากเดิม 3-4 เท่า จากนั้นคุมราคาค่าเช่าให้ถูกลงเหลือ 7 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้การเข้าถึงได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ยังพัฒนาระบบ Data Center เนื่องจากขณะนี้ส่วนราชการของไทยมีค่าใช้จ่ายดูแลประมาณ 8,000 ล้านบาทต่อปี นับว่าใช้เงินค่าดูแลระบบสูงมาก เมื่อสร้างศูนย์ข้อมูลขี้นมาใหม่ ขนาดใหญ่ที่สุดของอาเซียน เพื่อให้ส่วนราชการ บริษัทเอกชนใช้บริการ โดยไม่รวมกับระบบความมั่นคง คาดว่าในช่วงเดือนตุลาคมนี้ จะเปิดประมูลการวางระบบได้สำเร็จ จะทำให้ต้นทุนการใช้ระบบของส่วนราชการถูกลง
รวมทั้งการใช้ระบบ E-Goverment เพื่อให้ประชาชนรับบริการจากหน่วยงานภาครัฐ โดยใช้เพียงบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดเสียบเครื่องบริการ รวมทั้งการต่อสัญญาใบอนุญาตทางอินเตอร์กับส่วนราชการ และยังมีระบบ Digital Promotion ซี่งเป็นระบบสนันสนุนทุกด้านให้มีความสำเร็จ นับว่าเป็นกลไกที่มีความสำคัญมาก เช่น การเปิดศูนย์การเรียนรู้ทางไกลผ่านอินเตอร์เน็ตเพิ่มเป็น 15,000 แห่ง เพื่อให้นักเรียนต่างจังหวัดได้เรียนรู้จากครู อาจารย์เหมือนกับเด็กในกรุงเทพฯ เพื่อให้เรียนได้พร้อมกัน เนื่องจากทิศทางด้านเศรษฐกิจดิจิตอลมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น เนื่องจากการดำรงชีพอนาคตจะเริ่มเทียบชั้นกับสิงคโปร์ ญี่ปุ่น อินเดีย ด้วยการค้นคว้าข้อมูล การรับบริการผ่านระบบไอทีด้วยความสมบูรณ์มากขึ้น
