พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมเพื่อแก้ปัญหาเยาวชนแข่งรถในทางสาธารณะ หรือ เด็กแว้น และการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานศึกษา ว่า การแก้ไขปัญหาเด็กแว้น จะมีการเพิ่มโทษให้หนักขึ้น ในส่วนของผู้ปกครองถ้ามีส่วนรับรู้ หรือรู้เห็นการกระทำ แต่ถ้าไม่มีส่วนร่วมรู้เห็น จะนำผู้ปกครองในส่วนนี้เพื่อร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่รัฐ ในการแก้ไขปัญหาของบุตรหลาน แต่ถ้าพบว่าเยาวชนดังกล่าวไปกระทำความผิดอีก ก็จะต้องดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ปกครองด้วยเช่นกัน
ส่วนร้านจำหน่ายอุปกรณ์ จักรยานยนต์ หากเป็นรายใหญ่ที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรม จะให้กระทรวงดูแลตรวจสอบว่า ร้านไหนที่จำหน่ายอุปกรณ์ได้เข้าข่ายส่งเสริมการกระทำผิด ซึ่งถ้าพบจะดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนการดำเนินการกับร้านจำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถรายย่อย ที่มีอยู่ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ จะให้ตำรวจ กรมสรรพากร หน่วยงาน ท้องถิ่นภายใต้สังกัดกระทรวงมหาดไทยไปติดตามตรวจสอบ ถ้าหากพบว่าสนับสนุนการกระทำผิดให้แก่เด็กแว้นจะดำเนินการสั่งปิดทันที
สำหรับการเอาผิดกับกลุ่มที่ตระเตรียม หรือชุมนุมร่วมตัวเพื่อตระเตรียมจะแข่งรถ คาดว่าในวันพรุ่งนี้จะพูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่าจะขอใช้มาตรา 44 มาดำเนินการแก้ไขด้านกฎหมายให้มีความรวดเร็วขึ้นได้ไหม ซึ่งถ้าได้ก็จะมีความชัดเจนโดยเร็ว
นอกจากนั้น จะให้ความรู้ความเข้าใจกับเยาวชนเพื่อไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับการแข่งรถบนทางสาธารณะ ซึ่งพบว่าเป็นเด็กนอกสถานศึกษาร้อยละ 60-70 จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปทำประวัติ รวมถึงจะให้หน่วยงานในทุกจังหวัดไปสำรวจความต้องการของเยาวชนในพื้นที่ใดต้องการให้ก่อสร้างพื้นที่ทำเป็นลานกีฬาหรือไม่ ซึ่งวิธีนี้ต้องการให้เยาวชนหันมาเล่นกีฬาแทนการไปรวมตัวแข่งรถ
ส่วนการดำเนินการกับร้านที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใกล้สถานศึกษา ที่ประชุมได้ข้อสรุปว่า ในเรื่องของกฎหมายมีควบคุมดูแลอยู่แล้ว แต่เรื่องที่จะต้องแก้ไข คือการไปดูแลการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐให้มีความเข้มงวดมากขึ้น เพราะที่ผ่านมามีความหย่อนยานมาก ซึ่งตั้งแต่นี้จะให้ทางสํานักงานกฤษฎีกาไปดูว่ามีกฎหมายตรงไหน ที่หน่วยงานไหนเป็นผู้ดูแล และถ้าหากพบว่ายังไม่มีการพัฒนาในการปฎิบัติงาน ก็จะลงโทษเจ้าหน้าที่ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ได้สั่งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปสรุป วางแผนมาการแก้ปัญหามา โดยให้นำข้อสรุปของแต่ละหน่วยงานมารายผลอีกครั้งหนึ่งภายใน 1สัปดาห์ ซึ่งจะต้องได้แนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหานี้ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติต่อไป
ด้าน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหา คือ ดำเนินการตั้งด่านจุดตรวจ จุดสกัด เพื่อตรวจสอบจับกุมทั้งรถจักรยานยนต์และรถที่ดำเนินการขนสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขัน ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน ที่ผ่านมา ส่วนการปรับแก้กฎหมายที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมวางกรอบเวลาให้ภายใน 7 วันนั้น ทาง สตช.จะไปดูว่าภารกิจใดที่การบังคับใช้กฎหมาย และยังหย่อนยาน เช่น เวลาของการตั้งด่าน และการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ก็จะปรับปรุงแก้ไข รวมถึงโทษสำหรับเด็กและเยาวชน ที่กระทำผิดซ้ำ และอยู่ระหว่างรอลงอาญา ก็จะเพิ่มโทษจำคุกเข้าไป และยังจะมีการหารือถึงการออกกฎหมายเชิงป้องกัน สำหรับกลุ่มที่มีการเตรียมการจะรวมตัวกัน ซึ่งก็จะต้องได้รับโทษฐานการพยายามที่จะก่อพฤติกรรมในลักษณะนี้ด้วย นอกจากนี้ ยังจะต้องทำความเข้าใจกับสถานพินิจ ถึงกรอบระยะเวลาของการอบรมเด็กกลุ่มนี้ให้เพิ่มเวลาขึ้นโดยไม่กระทบกับการศึกษา
ส่วนกลุ่มที่กระทำผ่านโซเชียลมีเดียในการนัดรวมตัวกันต่างๆ หรือพยายามดำเนินการให้มีการแข่งรถ จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่ง สตช.ได้ดำเนินการเตือนให้หยุดกระทำ แต่หากยังไม่หยุดก็จะจับกุมทันที ซึ่ง สตช.ทราบตัวผู้กระทำทั้งหมด ขณะนี้ได้มีการเฝ้าระวังติดตามกลุ่มเด็กแว้นที่จะรวมตัวกันอยู่ ซึ่งเบื้องต้นแผนการปฏิบัติการเร่งด่วน คือการตั้งด่านและปูพรมตรวจ ได้ดำเนินการใช้แล้วตอนนี้ และจะทำไปอีก 3 เดือน จากนั้นจะนำมาประเมินปรับแผนอีกครั้ง
ส่วนร้านจำหน่ายอุปกรณ์ จักรยานยนต์ หากเป็นรายใหญ่ที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรม จะให้กระทรวงดูแลตรวจสอบว่า ร้านไหนที่จำหน่ายอุปกรณ์ได้เข้าข่ายส่งเสริมการกระทำผิด ซึ่งถ้าพบจะดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนการดำเนินการกับร้านจำหน่ายอุปกรณ์แต่งรถรายย่อย ที่มีอยู่ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ จะให้ตำรวจ กรมสรรพากร หน่วยงาน ท้องถิ่นภายใต้สังกัดกระทรวงมหาดไทยไปติดตามตรวจสอบ ถ้าหากพบว่าสนับสนุนการกระทำผิดให้แก่เด็กแว้นจะดำเนินการสั่งปิดทันที
สำหรับการเอาผิดกับกลุ่มที่ตระเตรียม หรือชุมนุมร่วมตัวเพื่อตระเตรียมจะแข่งรถ คาดว่าในวันพรุ่งนี้จะพูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่าจะขอใช้มาตรา 44 มาดำเนินการแก้ไขด้านกฎหมายให้มีความรวดเร็วขึ้นได้ไหม ซึ่งถ้าได้ก็จะมีความชัดเจนโดยเร็ว
นอกจากนั้น จะให้ความรู้ความเข้าใจกับเยาวชนเพื่อไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับการแข่งรถบนทางสาธารณะ ซึ่งพบว่าเป็นเด็กนอกสถานศึกษาร้อยละ 60-70 จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปทำประวัติ รวมถึงจะให้หน่วยงานในทุกจังหวัดไปสำรวจความต้องการของเยาวชนในพื้นที่ใดต้องการให้ก่อสร้างพื้นที่ทำเป็นลานกีฬาหรือไม่ ซึ่งวิธีนี้ต้องการให้เยาวชนหันมาเล่นกีฬาแทนการไปรวมตัวแข่งรถ
ส่วนการดำเนินการกับร้านที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใกล้สถานศึกษา ที่ประชุมได้ข้อสรุปว่า ในเรื่องของกฎหมายมีควบคุมดูแลอยู่แล้ว แต่เรื่องที่จะต้องแก้ไข คือการไปดูแลการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐให้มีความเข้มงวดมากขึ้น เพราะที่ผ่านมามีความหย่อนยานมาก ซึ่งตั้งแต่นี้จะให้ทางสํานักงานกฤษฎีกาไปดูว่ามีกฎหมายตรงไหน ที่หน่วยงานไหนเป็นผู้ดูแล และถ้าหากพบว่ายังไม่มีการพัฒนาในการปฎิบัติงาน ก็จะลงโทษเจ้าหน้าที่ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ได้สั่งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปสรุป วางแผนมาการแก้ปัญหามา โดยให้นำข้อสรุปของแต่ละหน่วยงานมารายผลอีกครั้งหนึ่งภายใน 1สัปดาห์ ซึ่งจะต้องได้แนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหานี้ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติต่อไป
ด้าน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหา คือ ดำเนินการตั้งด่านจุดตรวจ จุดสกัด เพื่อตรวจสอบจับกุมทั้งรถจักรยานยนต์และรถที่ดำเนินการขนสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขัน ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน ที่ผ่านมา ส่วนการปรับแก้กฎหมายที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมวางกรอบเวลาให้ภายใน 7 วันนั้น ทาง สตช.จะไปดูว่าภารกิจใดที่การบังคับใช้กฎหมาย และยังหย่อนยาน เช่น เวลาของการตั้งด่าน และการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ก็จะปรับปรุงแก้ไข รวมถึงโทษสำหรับเด็กและเยาวชน ที่กระทำผิดซ้ำ และอยู่ระหว่างรอลงอาญา ก็จะเพิ่มโทษจำคุกเข้าไป และยังจะมีการหารือถึงการออกกฎหมายเชิงป้องกัน สำหรับกลุ่มที่มีการเตรียมการจะรวมตัวกัน ซึ่งก็จะต้องได้รับโทษฐานการพยายามที่จะก่อพฤติกรรมในลักษณะนี้ด้วย นอกจากนี้ ยังจะต้องทำความเข้าใจกับสถานพินิจ ถึงกรอบระยะเวลาของการอบรมเด็กกลุ่มนี้ให้เพิ่มเวลาขึ้นโดยไม่กระทบกับการศึกษา
ส่วนกลุ่มที่กระทำผ่านโซเชียลมีเดียในการนัดรวมตัวกันต่างๆ หรือพยายามดำเนินการให้มีการแข่งรถ จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่ง สตช.ได้ดำเนินการเตือนให้หยุดกระทำ แต่หากยังไม่หยุดก็จะจับกุมทันที ซึ่ง สตช.ทราบตัวผู้กระทำทั้งหมด ขณะนี้ได้มีการเฝ้าระวังติดตามกลุ่มเด็กแว้นที่จะรวมตัวกันอยู่ ซึ่งเบื้องต้นแผนการปฏิบัติการเร่งด่วน คือการตั้งด่านและปูพรมตรวจ ได้ดำเนินการใช้แล้วตอนนี้ และจะทำไปอีก 3 เดือน จากนั้นจะนำมาประเมินปรับแผนอีกครั้ง