พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการแพทย์ทหารกองทัพไทย เรื่อง “ศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน” ในวันนี้ (3 มิ.ย.) ที่กองบัญชาการกองทัพไทย เนื่องในโอกาสที่สำนักงานแพทย์ทหาร กรมยุทธบริการทหารจะครบรอบวันสถาปนา 21 ปี โดยมี รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด เสนาธิการทหาร รองเสนาธิการ หัวหน้าส่วนราชการ กรมยุทธบริการทหารผู้อำนวยการสำนักงานแพทย์ทหาร และบุคลากรสายแพทย์ เข้าร่วมประชุม
พล.อ.วรพงษ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์และสภาพแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เกิดภัยพิบัติธรรมชาติและตามมาด้วยโรคภัยไข้เจ็บมากมายรวมถึงการแพร่ระบาดของโรคใหม่ๆ นำมาซึ่งความสูญเสียต่อชีวิต สิ่งเหล่านี้เป็นภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ จึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือและแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม ซึ่งความสำเร็จนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างเป็นระบบ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ตระหนักถึงภัยพิบัติดังกล่าว จึงร่วมกันจัดตั้งศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน (ACMM) ขึ้นในประเทศไทย เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการประสานความร่วมมือด้านการแพทย์ทหารร่วมกันในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดภัยพิบัติธรรมชาติในการประสานความร่วมมือกับองค์กรต่างๆ ในอาเซียนและนอกภูมิภาค จึงถือว่าไทยมีบทบาทที่สำคัญที่เป็นศูนย์กลางของศูนย์ดังกล่าว
สำหรับการประชุมครั้งนี้ จึงเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและจะเพิ่มความรู้ความเข้าใจให้กับบุคลากร จากการแลกเปลี่ยนทางวิชาการ เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพรวมถึงเป็นการเตรียมความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์ของกองทัพไทย เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน จึงหวังว่าบุคลากรทางการแพทย์จะพัฒนาขีดความสามารถ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสามารถนำไปปรับใช้ให้มีผลเป็นรูปธรรมต่อไป
พล.อ.วรพงษ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์และสภาพแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เกิดภัยพิบัติธรรมชาติและตามมาด้วยโรคภัยไข้เจ็บมากมายรวมถึงการแพร่ระบาดของโรคใหม่ๆ นำมาซึ่งความสูญเสียต่อชีวิต สิ่งเหล่านี้เป็นภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ จึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือและแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม ซึ่งความสำเร็จนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างเป็นระบบ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ตระหนักถึงภัยพิบัติดังกล่าว จึงร่วมกันจัดตั้งศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน (ACMM) ขึ้นในประเทศไทย เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการประสานความร่วมมือด้านการแพทย์ทหารร่วมกันในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดภัยพิบัติธรรมชาติในการประสานความร่วมมือกับองค์กรต่างๆ ในอาเซียนและนอกภูมิภาค จึงถือว่าไทยมีบทบาทที่สำคัญที่เป็นศูนย์กลางของศูนย์ดังกล่าว
สำหรับการประชุมครั้งนี้ จึงเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและจะเพิ่มความรู้ความเข้าใจให้กับบุคลากร จากการแลกเปลี่ยนทางวิชาการ เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพรวมถึงเป็นการเตรียมความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์ของกองทัพไทย เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน จึงหวังว่าบุคลากรทางการแพทย์จะพัฒนาขีดความสามารถ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสามารถนำไปปรับใช้ให้มีผลเป็นรูปธรรมต่อไป