นายธวัชชัย โสภาเสถียรพงศ์ อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปก ครั้งที่ 21 ระหว่างวันที่ 23-24 พฤษภาคมนี้ ณ เกาะโบราไคย์ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นเจ้าภาพเอเปกของปีนี้ โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานของเอเปคภายใต้หัวข้อประจำปี คือ "การสร้างเศรษฐกิจที่เท่าเทียม การสร้างโลกที่ดีขึ้น"
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะร่วมกับรัฐมนตรีการค้าเอเปกให้การสนับสนุนในประเด็นที่เอเปกต้องการให้บรรลุผลตามเป้าหมาย โดยเฉพาะเรื่องการยกระดับวาระการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่งเป็นเรื่องที่มีการผลักดันอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เพื่อมุ่งไปสู่การเปิดเสรีในปี 2563 หรือที่เรียกว่า เป้าหมายโบกอร์ ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะยาวของเอเปกตั้งแต่ปี 2537 รวมถึงการดำเนินงานเพื่อนำไปสู่การเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรีของเอเชีย-แปซิฟิก (Free Trade Area of the Asia-Pacific: FTAAP) หรือที่เรียกว่า เอฟแทป โดยจะร่วมกันศึกษาเชิงยุทธศาสตร์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการที่จะเริ่มเจรจาจัดทำ FTAAP ระหว่างสมาชิกเอเปก ซึ่งกำหนดให้แล้วเสร็จภายในปีหน้า
ในปีนี้ เอเปกชูประเด็นเกี่ยวกับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี (SMEs) ให้เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของประเทศไทยที่ได้ยกเรื่องเอสเอ็มอีให้เป็นวาระแห่งชาติด้วย โดยเอเปกจะมุ่งเน้นให้เอสเอ็มอีเข้ามามีส่วนร่วมในตลาดระดับโลกมากขึ้น ผ่านความร่วมมือในด้านต่างๆ อาทิ การอำนวยความสะดวกทางการค้า การเข้าถึงแหล่งเงิน และการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทย เนื่องจากเอสเอ็มอีถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยและจะเป็นส่วนหนึ่งในการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำเพื่อนำไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียมต่อไป
นายธวัชชัย กล่าวต่อว่า ผลจากการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปกครั้งนี้ จะเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของสมาชิกเอเปกในการขับเคลื่อนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์สำหรับการประกาศเจตนารมณ์ของผู้นำเอเปกที่จะให้เกิดความมั่งคั่ง ยั่งยืน และเท่าเทียม ของเศรษฐกิจภายในภูมิภาค
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์จากการเข้าร่วมเวทีเอเปกมาโดยตลอด เนื่องจากเอเปกเป็นเวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคที่ไม่มีพันธะผูกพันและส่วนใหญ่เป็นการจัดกิจกรรมที่มุ่งให้เกิดความรู้และถ่ายทอดประสบการณ์ระหว่างสมาชิกด้วยกัน
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะร่วมกับรัฐมนตรีการค้าเอเปกให้การสนับสนุนในประเด็นที่เอเปกต้องการให้บรรลุผลตามเป้าหมาย โดยเฉพาะเรื่องการยกระดับวาระการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่งเป็นเรื่องที่มีการผลักดันอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เพื่อมุ่งไปสู่การเปิดเสรีในปี 2563 หรือที่เรียกว่า เป้าหมายโบกอร์ ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะยาวของเอเปกตั้งแต่ปี 2537 รวมถึงการดำเนินงานเพื่อนำไปสู่การเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรีของเอเชีย-แปซิฟิก (Free Trade Area of the Asia-Pacific: FTAAP) หรือที่เรียกว่า เอฟแทป โดยจะร่วมกันศึกษาเชิงยุทธศาสตร์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการที่จะเริ่มเจรจาจัดทำ FTAAP ระหว่างสมาชิกเอเปก ซึ่งกำหนดให้แล้วเสร็จภายในปีหน้า
ในปีนี้ เอเปกชูประเด็นเกี่ยวกับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี (SMEs) ให้เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องมีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของประเทศไทยที่ได้ยกเรื่องเอสเอ็มอีให้เป็นวาระแห่งชาติด้วย โดยเอเปกจะมุ่งเน้นให้เอสเอ็มอีเข้ามามีส่วนร่วมในตลาดระดับโลกมากขึ้น ผ่านความร่วมมือในด้านต่างๆ อาทิ การอำนวยความสะดวกทางการค้า การเข้าถึงแหล่งเงิน และการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทย เนื่องจากเอสเอ็มอีถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยและจะเป็นส่วนหนึ่งในการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำเพื่อนำไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียมต่อไป
นายธวัชชัย กล่าวต่อว่า ผลจากการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปกครั้งนี้ จะเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของสมาชิกเอเปกในการขับเคลื่อนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์สำหรับการประกาศเจตนารมณ์ของผู้นำเอเปกที่จะให้เกิดความมั่งคั่ง ยั่งยืน และเท่าเทียม ของเศรษฐกิจภายในภูมิภาค
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์จากการเข้าร่วมเวทีเอเปกมาโดยตลอด เนื่องจากเอเปกเป็นเวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคที่ไม่มีพันธะผูกพันและส่วนใหญ่เป็นการจัดกิจกรรมที่มุ่งให้เกิดความรู้และถ่ายทอดประสบการณ์ระหว่างสมาชิกด้วยกัน
