พล.ท.ปราการ ชลยุทธ แม่ทัพภาคที่ 4 เดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์พร้อมคณะ อาทิ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการพิเศษภาค (สปภ.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เจ้าหน้าที่กองพิจน์หลักฐาน เจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ ลงจอดที่ ร.ร.บ้านตะโล๊ะ ก่อนเดินเท้าขึ้นไปยังจุดที่ตั้งแคมป์ที่พักชาวโรฮิงญา บนยอดเขาแก้ว เส้นกั้นพรมแดนระหว่างไทยและมาเลเซีย ในพื้นที่หมู่ 8 บ้านตะโล๊ะ ตำบลปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ซึ่งพบศพชาวโรฮิงญากว่า 26 ศพ เมื่อคณะ พล.ท.ปราการ ไปถึงพบว่า ที่พักแรงงานเถื่อนชาวโรฮิงญาดังกล่าว มีขนาดใหญ่ จุคนได้ไม่ต่ำกว่า 500 คน พร้อมมีการประชุมตั้งศูนย์ทำงานร่วมหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อหยุดยั้งขบวนการซึ่งสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทย โดยตำหนิว่า ขบวนการค้าแรงงานชาวโรฮิงญา ตั้งอยู่บนพื้นที่ดังกล่าวเป็นเวลาหลายปี แต่กลับรอดสายตาเจ้าหน้าที่รัฐ นอกจากนั้น ได้สั่งการให้รีบพิสูจน์สาเหตุการตายของแรงงานโรฮิงญาว่ามีการทารุณกรรมก่อนตายหรือไม่ รวมทั้งสอบสวนว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐ เข้ามามีส่วนร่วมหรือไม่ หากพบให้ดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด
ทั้งนี้ พล.ท.ปราการ ยอมรับว่า การควบคุมการค้าแรงงานเถื่อนค่อนข้างยาก เนื่องจากไทยและมาเลเซียมีเส้นกั้นเขตแดนที่ยาวมาก ประกอบด้วยภูเขาสลับซับซ้อน ซึ่งจะเร่งประสานเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศมาเลเซีย ร่วมหามาตรการป้องกันการขนย้ายแรงงานเถื่อน ไม่ให้ไทยและมาเลเซียเป็นทางผ่าน และเพื่อสกัดกั้นขบวนค้าแรงงานเถื่อน
ทั้งนี้ พล.ท.ปราการ ยอมรับว่า การควบคุมการค้าแรงงานเถื่อนค่อนข้างยาก เนื่องจากไทยและมาเลเซียมีเส้นกั้นเขตแดนที่ยาวมาก ประกอบด้วยภูเขาสลับซับซ้อน ซึ่งจะเร่งประสานเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศมาเลเซีย ร่วมหามาตรการป้องกันการขนย้ายแรงงานเถื่อน ไม่ให้ไทยและมาเลเซียเป็นทางผ่าน และเพื่อสกัดกั้นขบวนค้าแรงงานเถื่อน