ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เดินทางถึงปากีสถานเมื่อวันจันทร์ (20 เม.ย.) และเริ่มเปิดตัวการลงทุนอภิมหาโครงการทางด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน รวมเป็นมูลค่า 46,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนอกจากเป็นการตอกย้ำแผนการทะเยอะทะยานทางเศรษฐกิจของปักกิ่งในเอเชียแล้ว ความเคลื่อนไหวนี้ยังมีนัยในการคานอิทธิพลของอเมริกาและอินเดีย
ระหว่างการเยือนปากีสถาน 2 วันคราวนี้ สี กับผู้นำปากีสถานจะกำกับดูแลการลงนามในข้อตกลงจำนวนมากระหว่างประเทศทั้งสอง ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อสถาปนา “ระเบียงเศรษฐกิจปากีสถาน-จีน” ขึ้นครอบคลุมอาณาบริเวณระหว่างเมืองท่า “กวาดาร์” ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลอาราเบียทางภาคใต้ของปากีสถาน ไปจนถึงเขตปกครองตนเองซินเจียง (ซินเกียง) ทางภาคตะวันตกของแดนมังกร
แผนการนี้ซึ่งจีนจะลงทุนเป็นเงินมากกว่าที่สหรัฐฯใช้จ่ายอยู่ในปากีสถานตลอดช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาเสียอีก ถือเป็นส่วนหนึ่งของ “เส้นทางสายไหมสายใหม่” ทั้งทางบกและทางทะเล ซึ่งมุ่งผูกโยงดินแดนจีนเข้ากับตลาดต่างๆ ในเอเชียกลาง เอเชียใต้ ไปจนถึงยุโรป และตะวันออกกลาง
สี ระบุว่า การลงทุนเช่นนี้จะผูกพันประเทศเพื่อนบ้านทั้งสองอย่างแน่นหนา ในฐานะที่เป็น “หุ้นส่วนเพื่อการร่วมมือกันทางยุทธศาสตร์ซึ่งทนทานต่อทุกสภาพอากาศ”
ขณะที่นายกรัฐมนตรีนาวาซ ชารีฟ ของปากีสถาน กล่าวว่า ระเบียงเศรษฐกิจแห่งนี้จะเปลี่ยนโฉมปากีสถานให้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งหนึ่งของภูมิภาค ส่วนทางจีนก็จะได้เส้นทางซึ่งสั้นลงและถูกลงสำหรับการค้าและการลงทุนกับเอเชียใต้ เอเชียกลาง เอเชียตะวันตก ตลอดจนตะวันออกกลาง และแอฟริกา
ระเบียงเศรษฐกิจแห่งนี้ ซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายถนน ทางรถไฟ และสายท่อส่งน้ำมันและก๊าซ จะพาดผ่านแคว้นบาลูจิสถาน ที่เป็นพื้นที่ยากจนของปากีสถาน และประสบปัญหาการก่อความรุนแรงของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนมายาวนาน
อาห์ซาน อิกบัล รัฐมนตรีกระทรวงวางแผนและการพัฒนาของปากีสถานแถลงแจกแจงว่า จีนจะลงทุนเป็นมูลค่า 37,000 ล้านดอลลาร์ในโครงการก๊าซ ถ่านหิน และพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า 16,400 เมกะวัตต์ เปรียบเทียบกับเงินที่อเมริกาอัดฉีดปากีสถานนับจากปี 2002 ที่มีมูลค่า 31,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งราว 2 ใน 3 ทุ่มให้กับกิจการด้านความมั่นคง
ทางด้าน แอนดริว สมอลล์ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับความสัมพันธ์จีน-ปากีสถาน ชี้ว่า แม้จีนและอเมริกาแข่งขันกันสร้างอิทธิพลในเอเชีย แต่สองประเทศก็มีผลประโยชน์ร่วมกันจำนวนมากในปากีสถาน โดยเฉพาะความต้องการที่จะให้ประเทศนี้มีรัฐบาลซึ่งมีเสถียรภาพเพื่อกวาดล้างกลุ่มหัวรุนแรง ปักกิ่งจึงต้องการให้วอชิงตันให้ความช่วยเหลือ ขายอาวุธ และให้การสนับสนุนอื่นๆ แก่อิสลามาบัดต่อไปเช่นเดิม
ระหว่างการเยือนปากีสถาน 2 วันคราวนี้ สี กับผู้นำปากีสถานจะกำกับดูแลการลงนามในข้อตกลงจำนวนมากระหว่างประเทศทั้งสอง ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อสถาปนา “ระเบียงเศรษฐกิจปากีสถาน-จีน” ขึ้นครอบคลุมอาณาบริเวณระหว่างเมืองท่า “กวาดาร์” ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลอาราเบียทางภาคใต้ของปากีสถาน ไปจนถึงเขตปกครองตนเองซินเจียง (ซินเกียง) ทางภาคตะวันตกของแดนมังกร
แผนการนี้ซึ่งจีนจะลงทุนเป็นเงินมากกว่าที่สหรัฐฯใช้จ่ายอยู่ในปากีสถานตลอดช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาเสียอีก ถือเป็นส่วนหนึ่งของ “เส้นทางสายไหมสายใหม่” ทั้งทางบกและทางทะเล ซึ่งมุ่งผูกโยงดินแดนจีนเข้ากับตลาดต่างๆ ในเอเชียกลาง เอเชียใต้ ไปจนถึงยุโรป และตะวันออกกลาง
สี ระบุว่า การลงทุนเช่นนี้จะผูกพันประเทศเพื่อนบ้านทั้งสองอย่างแน่นหนา ในฐานะที่เป็น “หุ้นส่วนเพื่อการร่วมมือกันทางยุทธศาสตร์ซึ่งทนทานต่อทุกสภาพอากาศ”
ขณะที่นายกรัฐมนตรีนาวาซ ชารีฟ ของปากีสถาน กล่าวว่า ระเบียงเศรษฐกิจแห่งนี้จะเปลี่ยนโฉมปากีสถานให้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งหนึ่งของภูมิภาค ส่วนทางจีนก็จะได้เส้นทางซึ่งสั้นลงและถูกลงสำหรับการค้าและการลงทุนกับเอเชียใต้ เอเชียกลาง เอเชียตะวันตก ตลอดจนตะวันออกกลาง และแอฟริกา
ระเบียงเศรษฐกิจแห่งนี้ ซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายถนน ทางรถไฟ และสายท่อส่งน้ำมันและก๊าซ จะพาดผ่านแคว้นบาลูจิสถาน ที่เป็นพื้นที่ยากจนของปากีสถาน และประสบปัญหาการก่อความรุนแรงของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนมายาวนาน
อาห์ซาน อิกบัล รัฐมนตรีกระทรวงวางแผนและการพัฒนาของปากีสถานแถลงแจกแจงว่า จีนจะลงทุนเป็นมูลค่า 37,000 ล้านดอลลาร์ในโครงการก๊าซ ถ่านหิน และพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า 16,400 เมกะวัตต์ เปรียบเทียบกับเงินที่อเมริกาอัดฉีดปากีสถานนับจากปี 2002 ที่มีมูลค่า 31,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งราว 2 ใน 3 ทุ่มให้กับกิจการด้านความมั่นคง
ทางด้าน แอนดริว สมอลล์ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับความสัมพันธ์จีน-ปากีสถาน ชี้ว่า แม้จีนและอเมริกาแข่งขันกันสร้างอิทธิพลในเอเชีย แต่สองประเทศก็มีผลประโยชน์ร่วมกันจำนวนมากในปากีสถาน โดยเฉพาะความต้องการที่จะให้ประเทศนี้มีรัฐบาลซึ่งมีเสถียรภาพเพื่อกวาดล้างกลุ่มหัวรุนแรง ปักกิ่งจึงต้องการให้วอชิงตันให้ความช่วยเหลือ ขายอาวุธ และให้การสนับสนุนอื่นๆ แก่อิสลามาบัดต่อไปเช่นเดิม