พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมประกาศยกเลิกการใช้กฎอัยการศึก ทำให้ตั้งแต่นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สามารถใช้อำนาจได้ตามมาตรา 44 ทันที โดยไม่จำเป็นที่จะต้องประกาศเป็นกฎหมายหรือดำเนินการผ่านผู้ใด
ทั้งนี้ ได้มีร่างหลักเกณฑ์กำหนดเกี่ยวกับการใช้มาตรา 44 ออกมาแล้ว ซึ่งในร่างหลักเกณฑ์กำหนดถึงบทบาทหน้าที่ของทั้งเจ้าพนักงาน ฐานความผิดและบทลงโทษอย่างชัดเจน
พล.อ.ไพบูลย์ ระบุว่า การนำมาตรา 44 มาใช้ไม่อยากให้มองว่าเป็นความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น หรือจะมีมาตรการควบคุมเข้มข้นกว่ากฎอัยการศึก เพราะเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งของ คสช.ที่สามารถนำมาใช้ได้ หากหัวหน้า คสช.เห็นว่าเป็นประโยชน์ในการปฎิรูปประเทศหรือการรักษาความสงบเรียบร้อย โดยขณะนี้คงต้องมีเครื่องมือในการควบคุมสถานการณ์ไปก่อน เนื่องจากประเทศยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่ยืนยันว่าการใช้มาตรา 44 ไม่ได้เป็นการบ่งบอกว่าสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้นหรือเป็นเจตนาของ คสช.ที่จะมุ่งเน้นใช้กำลังกับกลุ่มเห็นต่างและการใช้กำลังสร้างความรุนแรงกับกลุ่มใด
พร้อมระบุว่า การใช้มาตรา 44 ก็มีกำหนดชัดเจนและไม่ได้มีการควบคุมตัวผู้ต้องหาที่แตกต่างจากวิธีการเดิม แค่เป็นเครื่องมือธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
สำหรับมาตรา 44 บัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นเป็นการจําเป็นเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปในด้านต่างๆ การส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ หรือเพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทําอันเป็นการบ่อนทําลายความสงบเรียบร้อย หรือความมั่นคงของชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีอํานาจสั่งการระงับยับยั้ง หรือกระทําการใดๆ ได้ ไม่ว่าการกระทํานั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคําสั่งหรือการกระทํา รวมทั้งการปฏิบัติตามคําสั่งดังกล่าว เป็นคําสั่งหรือการกระทํา หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุด ทั้งนี้ เมื่อได้ดําเนินการดังกล่าวแล้ว ให้รายงานประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรี ทราบโดยเร็ว
ทั้งนี้ ได้มีร่างหลักเกณฑ์กำหนดเกี่ยวกับการใช้มาตรา 44 ออกมาแล้ว ซึ่งในร่างหลักเกณฑ์กำหนดถึงบทบาทหน้าที่ของทั้งเจ้าพนักงาน ฐานความผิดและบทลงโทษอย่างชัดเจน
พล.อ.ไพบูลย์ ระบุว่า การนำมาตรา 44 มาใช้ไม่อยากให้มองว่าเป็นความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น หรือจะมีมาตรการควบคุมเข้มข้นกว่ากฎอัยการศึก เพราะเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งของ คสช.ที่สามารถนำมาใช้ได้ หากหัวหน้า คสช.เห็นว่าเป็นประโยชน์ในการปฎิรูปประเทศหรือการรักษาความสงบเรียบร้อย โดยขณะนี้คงต้องมีเครื่องมือในการควบคุมสถานการณ์ไปก่อน เนื่องจากประเทศยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่ยืนยันว่าการใช้มาตรา 44 ไม่ได้เป็นการบ่งบอกว่าสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้นหรือเป็นเจตนาของ คสช.ที่จะมุ่งเน้นใช้กำลังกับกลุ่มเห็นต่างและการใช้กำลังสร้างความรุนแรงกับกลุ่มใด
พร้อมระบุว่า การใช้มาตรา 44 ก็มีกำหนดชัดเจนและไม่ได้มีการควบคุมตัวผู้ต้องหาที่แตกต่างจากวิธีการเดิม แค่เป็นเครื่องมือธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
สำหรับมาตรา 44 บัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นเป็นการจําเป็นเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปในด้านต่างๆ การส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ หรือเพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทําอันเป็นการบ่อนทําลายความสงบเรียบร้อย หรือความมั่นคงของชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีอํานาจสั่งการระงับยับยั้ง หรือกระทําการใดๆ ได้ ไม่ว่าการกระทํานั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคําสั่งหรือการกระทํา รวมทั้งการปฏิบัติตามคําสั่งดังกล่าว เป็นคําสั่งหรือการกระทํา หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุด ทั้งนี้ เมื่อได้ดําเนินการดังกล่าวแล้ว ให้รายงานประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรี ทราบโดยเร็ว