พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเสียงวิจารณ์แนวคิดใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 แทนประกาศกฎอัยการศึก ที่ให้อำนาจควบคุมตัวบุคคลได้ไม่จำกัดเวลา และให้อำนาจนายกรัฐมนตรี เป็นอย่างมากว่า เรื่องดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ชี้แจงกับสื่อไปแล้ว คิดว่าการพิจารณากำหนดแนวทาง นายกรัฐมนตรีคงจะหารือกับหลายฝ่าย แต่ยังไม่อยากเล่าให้ใครฟัง ดังนั้นในการประชุม ครม.นอกสถานที่ เมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา จึงไม่มีการหยิบยกขึ้นมาพูดถึงหรือสั่งการใดๆ เพิ่มเติม ส่วนจะพิจารณาข้อกำหนดมาบังคับใช้นั้นถือเป็นอำนาจนายกรัฐมนตรี ตนไม่ใช่โฆษกประจำตัว คงไปตอบแทนไม่ได้
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า การวิพากษ์วิจารณ์ว่า การใช้มาตรา44 เป็นการให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการดำเนินการเรื่องต่างๆ อย่างกว้างนั้น ขอให้ย้อนกลับไปมองช่วงที่ คสช.เข้ามาบริหารงาน ให้อำนาจมากกว่าเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ใช้อำนาจทั้งหมด โดยใช้ในส่วนที่จำเป็นต้องดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเท่านั้น แต่เมื่อมีเสียงท้วงติง และวิจารณ์การใช้กฎอัยการศึก นายกรัฐมนตรีรับฟังและหาแนวทางอื่นมาดูแล โดยที่เจ้าหน้าที่ยังปฎิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย สามารถเข้าตรวจค้นพื้นที่สุ่มเสี่ยงที่มีข้อมูลข่าวสารปรากฏความผิดชัดเจน ตลอดจนจับกุมผู้กระทำผิด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากไม่มีการใช้กฎหมาย กระบวนการขั้นตอนในการจับกุมคนร้ายไปถึงการลงโทษ จะใช้เวลานาน
พล.ต.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า การวิพากษ์วิจารณ์ว่า การใช้มาตรา44 เป็นการให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการดำเนินการเรื่องต่างๆ อย่างกว้างนั้น ขอให้ย้อนกลับไปมองช่วงที่ คสช.เข้ามาบริหารงาน ให้อำนาจมากกว่าเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ใช้อำนาจทั้งหมด โดยใช้ในส่วนที่จำเป็นต้องดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเท่านั้น แต่เมื่อมีเสียงท้วงติง และวิจารณ์การใช้กฎอัยการศึก นายกรัฐมนตรีรับฟังและหาแนวทางอื่นมาดูแล โดยที่เจ้าหน้าที่ยังปฎิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย สามารถเข้าตรวจค้นพื้นที่สุ่มเสี่ยงที่มีข้อมูลข่าวสารปรากฏความผิดชัดเจน ตลอดจนจับกุมผู้กระทำผิด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากไม่มีการใช้กฎหมาย กระบวนการขั้นตอนในการจับกุมคนร้ายไปถึงการลงโทษ จะใช้เวลานาน
