นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า จากกรณีที่เกิดเหตุโจรกรรมที่พิพิธภัณฑ์จีน ภายในพระราชวังฟงแตนโบล กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งพบว่า "พระมหามงกุฎ" เครื่องมงคลราชบรรณาการของไทย สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทูลเกล้าฯ ถวายแด่จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส หายไปพร้อมกับ โบราณวัตถุอื่น ๆ อีก 15 รายการ นั้น ตนได้รายงานนี้ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบแล้ว ซึ่งนายกฯบอกให้ติดตามความคืบหน้าด้วย อ
อย่างไรก็ตามตนได้รับรายงานจากนักวิชาการ สำนักหอจดหมายเหตุ กรมศิลปากร โดยอ้างอิงจากเอกสารจดหมายเหตุ เย็บเล่ม ของกระทรวงการต่างประเทศ ฝรั่งเศส เล่ม 2 ว่า โบราณวัตถุที่หายไปนั้น เรียกว่า พระมหามงกุฎลงยาประดับพลอย เพชร มรกต ทับทิม เป็นเครื่องมงคลบรรณาการที่ฝ่ายไทย มอบให้แด่จักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศส ไม่ได้เรียกว่าพระมหาพิชัยมงกุฎ ส่วนพระมหาพิชัยมงกุฎนั้น เป็นของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่พระบรมหาราชวัง ดังนั้นขอทำความเข้าใจในส่วนนี้ด้วย
รมว.วัฒนธรรม กล่าวว่า ในวันนี้ตนยังได้โทรศัพท์ไปสอบถามความคืบหน้ากรณีดังกล่าวจาก นายอภิชาติ ชินวรรโณ เอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส โดยได้รับการชี้แจงว่า เรื่องโบราณวัตถุถูกโจรกรรม เป็นข่าวที่ได้รับความสนใจมากในฝรั่งเศส เพราะโดยทั่วไประบบรักษาความปลอดภัยในพิพิธภัณฑ์จะเข้มงวดและมีประสิทธิภาพมาก ซึ่งทางการฝรั่งเศสรู้สึกตกใจและเป็นห่วงเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นเวลานี้ทางฝรั่งเศสกำลังเร่งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ติดตามตรวจสอบอย่างหนัก เพื่อหาผู้กระทำความผิดในครั้งนี้ให้ได้โดยเร็ว
ด้าน นายบวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า การโจรกรรมพระมหามงกุฎ พร้อมด้วยโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์จีนครั้งนี้ เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ เพราะเหมือนถอดแบบมาจากภาพยนตร์ ซึ่งสามารถสันนิษฐานการโจรกรรมได้หลายสาเหตุ เมื่อพิจารณาตามหลักการและเหตุผลแล้ว เห็นว่า พระมหามงกุฎ เป็นโบราณวัตถุที่มีคุณค่าและอยู่ในพิพิธภัณฑ์ มีการขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุไว้แล้ว จึงยากที่จะนำมาซื้อขายทอดตลาด เพราะผิดกฎหมาย ยกเว้นจะมีใบสั่งให้โจรกรรม หรือ อาจจะมีการนำไปขายในตลาดมืดอีกต่อหนึ่ง เพื่อเป็นของชื่นชมของพวกนักสะสม หรือเศรษฐี
“ แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ก็ประมาทไม่ได้ ดังนั้นผมจึงกำชับให้นายสหภูมิ ภูมิธฤติรัฐ รองอธิบดีกรมศิลปากร ซึ่งกำกับดูแลสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั้ง 44 แห่ง ทั่วประเทศอย่างเข้มงวด ซึ่งในปี 2558 กรมศิลปากรได้กำหนดติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มกว่า 100 ตัว ในจุดสำคัญภายในพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ โดยใช้งบประมาณ กว่า 17 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังได้จัดเจ้าหน้าที่ประจำห้องภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เพื่อดูแล ตรวจสอบ โดยเฉพาะการสอดส่องผู้ที่เข้ามาชมไม่ให้มีการซ่อนตัวอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์ได้ เพราะหลายครั้งที่เกิดการโจรกรรมโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์มักเกิดจากการหลบซ่อนตัวในมุมอับตามที่ต่าง ๆ ส่วนภายนอกพิพิธภัณฑ์ให้จัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง"นายบวรเวทกล่าว
อย่างไรก็ตามตนได้รับรายงานจากนักวิชาการ สำนักหอจดหมายเหตุ กรมศิลปากร โดยอ้างอิงจากเอกสารจดหมายเหตุ เย็บเล่ม ของกระทรวงการต่างประเทศ ฝรั่งเศส เล่ม 2 ว่า โบราณวัตถุที่หายไปนั้น เรียกว่า พระมหามงกุฎลงยาประดับพลอย เพชร มรกต ทับทิม เป็นเครื่องมงคลบรรณาการที่ฝ่ายไทย มอบให้แด่จักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศส ไม่ได้เรียกว่าพระมหาพิชัยมงกุฎ ส่วนพระมหาพิชัยมงกุฎนั้น เป็นของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่พระบรมหาราชวัง ดังนั้นขอทำความเข้าใจในส่วนนี้ด้วย
รมว.วัฒนธรรม กล่าวว่า ในวันนี้ตนยังได้โทรศัพท์ไปสอบถามความคืบหน้ากรณีดังกล่าวจาก นายอภิชาติ ชินวรรโณ เอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส โดยได้รับการชี้แจงว่า เรื่องโบราณวัตถุถูกโจรกรรม เป็นข่าวที่ได้รับความสนใจมากในฝรั่งเศส เพราะโดยทั่วไประบบรักษาความปลอดภัยในพิพิธภัณฑ์จะเข้มงวดและมีประสิทธิภาพมาก ซึ่งทางการฝรั่งเศสรู้สึกตกใจและเป็นห่วงเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นเวลานี้ทางฝรั่งเศสกำลังเร่งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ติดตามตรวจสอบอย่างหนัก เพื่อหาผู้กระทำความผิดในครั้งนี้ให้ได้โดยเร็ว
ด้าน นายบวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า การโจรกรรมพระมหามงกุฎ พร้อมด้วยโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์จีนครั้งนี้ เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ เพราะเหมือนถอดแบบมาจากภาพยนตร์ ซึ่งสามารถสันนิษฐานการโจรกรรมได้หลายสาเหตุ เมื่อพิจารณาตามหลักการและเหตุผลแล้ว เห็นว่า พระมหามงกุฎ เป็นโบราณวัตถุที่มีคุณค่าและอยู่ในพิพิธภัณฑ์ มีการขึ้นทะเบียนโบราณวัตถุไว้แล้ว จึงยากที่จะนำมาซื้อขายทอดตลาด เพราะผิดกฎหมาย ยกเว้นจะมีใบสั่งให้โจรกรรม หรือ อาจจะมีการนำไปขายในตลาดมืดอีกต่อหนึ่ง เพื่อเป็นของชื่นชมของพวกนักสะสม หรือเศรษฐี
“ แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ก็ประมาทไม่ได้ ดังนั้นผมจึงกำชับให้นายสหภูมิ ภูมิธฤติรัฐ รองอธิบดีกรมศิลปากร ซึ่งกำกับดูแลสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติทั้ง 44 แห่ง ทั่วประเทศอย่างเข้มงวด ซึ่งในปี 2558 กรมศิลปากรได้กำหนดติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มกว่า 100 ตัว ในจุดสำคัญภายในพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ โดยใช้งบประมาณ กว่า 17 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังได้จัดเจ้าหน้าที่ประจำห้องภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เพื่อดูแล ตรวจสอบ โดยเฉพาะการสอดส่องผู้ที่เข้ามาชมไม่ให้มีการซ่อนตัวอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์ได้ เพราะหลายครั้งที่เกิดการโจรกรรมโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์มักเกิดจากการหลบซ่อนตัวในมุมอับตามที่ต่าง ๆ ส่วนภายนอกพิพิธภัณฑ์ให้จัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง"นายบวรเวทกล่าว