นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน พร้อมด้วยนายชุติชัย สาขากร อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ และนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงข่าว ภายหลังยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในข้อหาทุจริตต่อหน้าที่ในโครงการรับจำนำข้าว
โดยวันนี้อัยการสูงสุด ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นจำเลย ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ หรือให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2502 มาตรา 13พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4.123/1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่2) พ.ศ.2554 มาตรา 65 แล้ว พร้อมกันนี้ อัยการสูงสุดได้นำเอกสารหลักฐานจำนวนมากตามที่สำนักงาน ป.ป.ช.และคณะทำงานทั้งสองฝ่ายได้รวบรวมมา โดยได้ตรวจสอบและเรียบเรียงให้สอดคล้องกับคำฟ้อง ตลอดจนจัดทำสำเนายื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย
ทั้งนี้ แม้จำเลยมิได้มาศาลในวันฟ้องคดี อัยการสูงสุดยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายในการฟ้องคดีนี้ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2543 ข้อ 8 วรรค 2
สำหรับขั้นตอนตามกฎหมายภายหลังการฟ้องคดี ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาฯ จะเลือกองค์คณะผู้พิพากษาเพื่อพิจารณาคดีนี้จำนวน 9 ท่าน โดยเลือกจากผู้ที่ดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกา หรือผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ให้แล้วเสร็จภายใน 14 วัน องค์คณะผู้พิพากษาดังกล่าวจะประชุมเพื่อเลือกเจ้าของสำนวนคดีจำนวน 1 ท่าน และพิจารณาคำฟ้องของอัยการสูงสุดหากไม่มีการแก้ไข ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำสั่งประทับฟ้องและกำหนดให้คู่ความมาศาลในวันพิจารณาครั้งแรก โดยจะมีคำสั่งให้โจทก์นำเจ้าหน้าที่ศาลไปส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกให้จำเลย ณ ที่อยู่ตามที่ปรากฏในคำฟ้อง เพื่อให้จำเลยมาศาลในวันพิจารณาคดีครั้งแรก หากไม่มีผู้รับหมายเรียก ตามกฎหมายให้ปิดหมายได้ ซึ่งขั้นตอนนับจากวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประทับฟ้อง จนถึงวันที่โจทก์ไปส่งสำนวนคำฟ้องและหมายเรียกดังกล่าว จะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน
โดยวันนี้อัยการสูงสุด ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นจำเลย ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ หรือให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2502 มาตรา 13พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4.123/1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่2) พ.ศ.2554 มาตรา 65 แล้ว พร้อมกันนี้ อัยการสูงสุดได้นำเอกสารหลักฐานจำนวนมากตามที่สำนักงาน ป.ป.ช.และคณะทำงานทั้งสองฝ่ายได้รวบรวมมา โดยได้ตรวจสอบและเรียบเรียงให้สอดคล้องกับคำฟ้อง ตลอดจนจัดทำสำเนายื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย
ทั้งนี้ แม้จำเลยมิได้มาศาลในวันฟ้องคดี อัยการสูงสุดยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายในการฟ้องคดีนี้ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2543 ข้อ 8 วรรค 2
สำหรับขั้นตอนตามกฎหมายภายหลังการฟ้องคดี ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาฯ จะเลือกองค์คณะผู้พิพากษาเพื่อพิจารณาคดีนี้จำนวน 9 ท่าน โดยเลือกจากผู้ที่ดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกา หรือผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ให้แล้วเสร็จภายใน 14 วัน องค์คณะผู้พิพากษาดังกล่าวจะประชุมเพื่อเลือกเจ้าของสำนวนคดีจำนวน 1 ท่าน และพิจารณาคำฟ้องของอัยการสูงสุดหากไม่มีการแก้ไข ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำสั่งประทับฟ้องและกำหนดให้คู่ความมาศาลในวันพิจารณาครั้งแรก โดยจะมีคำสั่งให้โจทก์นำเจ้าหน้าที่ศาลไปส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกให้จำเลย ณ ที่อยู่ตามที่ปรากฏในคำฟ้อง เพื่อให้จำเลยมาศาลในวันพิจารณาคดีครั้งแรก หากไม่มีผู้รับหมายเรียก ตามกฎหมายให้ปิดหมายได้ ซึ่งขั้นตอนนับจากวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประทับฟ้อง จนถึงวันที่โจทก์ไปส่งสำนวนคำฟ้องและหมายเรียกดังกล่าว จะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน
