เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 20 ม.ค. ที่ศูนย์บริการประชาชน กลุ่มสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคและเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย จำนวน 20 คน นำโดย น.ส.บุญยืน ศิริธรรม ประธานสหพันธ์ผู้บริโภค นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ุ นักวิชาการอิสระ ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยนโยบายพลังงานและทรัพยากร ม.รังสิต ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ดำเนินการตามมติของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่ไม่เห็นด้วยต่อข้อเสนอของคณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงานที่จะดำเนินการเปิด สัมปทานปิโตรเลียมที่ 21
โดยนางบุญยืน กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ เคยกล่าวไว้ว่า จะต้องมีการปฏิรูปต่อการเลือกตั้ง รวมทั้งเรื่องพลังงาน ที่เป็นหัวข้อหนึ่งในการปฏิรูป หากไม่ชะลอการให้สัมปทานครั้งนี้ อาจจะต้องรอไปถึง 30 ปี ก็เท่ากับเป็นการปิดประตูปฏิรูปพลังงาน จึงขอให้นายกรัฐมนตรีฟังเสียงของ สปช.ด้วย
ดังนั้นจึงขอเสนอให้ 1. ให้ชะลอการเปิดสัมปทานปิโตรเลียม รอบที่ 21 2. ให้พิจารณามอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสำรวจเพื่อให้ทราบถึง ข้อมูลในปริมาณปิโตรเลียมเบื้องต้นก่อนที่จะดำเนินการให้สิทธิในการผลิตแก่ เอกชน และ 3. ให้ปฏิรูปการให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม โดยให้มีการศึกษาที่เป็นอิสระ ปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อน เพื่อออกกฏหมายว่า ด้วยปิโตรเลียมฉบับใหม่ที่กำหนดให้ใช้ระบบการให้สิทธิและ สำรวจระบบปิโตรเลียมด้วยระบบอื่นที่มิใช่ระบบสัมปทาน เพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน
“นายกเข้ามาเพราะการชุมนุม อยากให้คนไทยปรองดองแต่ถ้านายกทำอะไรที่ฝืนกระแสสังคมต่อให้ออกกฎหมายอีก 100 ฉบับ ก็หยุดเราไม่ได้” นางบุญยืนกล่าว
ด้านม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯ ได้มีการจัดทำรายงาน การพิจารณาเรื่องการเปิดสัปทานปิโตรเลียมครั้งที่ 21 และเสนอต่อที่ประชุม สปช. ซึ่งตนได้มีการนำเสนอข้อมูลเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของระบบสัมปทานและระบบ แบ่งปันผลผลิต แต่ในส่วนของรายงานนั้นกลับไม่พบคำชี้แจงของตนทั้งนี้ในวันที่ 23 ม.ค. เวลา 10.00 น. ที่อาคารทีเอสทีทาวเวอร์ ชั้น 22 ตนจะเปิดเผยเอกสารหลักฐานที่ถูกบิดเบือนจากข้อเท็จจริงเพื่อให้รัฐบาลประกอบการพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้นายปานเทพ กล่าวว่า หากรัฐบาลตัดสินใจเดินหน้าเปิดสัมปทานปิโตรเลียมครั้งที่ 21 ถือว่า นายกรัฐมนตรีผิดคำพูดต่อประชาชนและ ไม่ฟังเสียง สปช. ซึ่งเป็นผู้ที่นายกรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คัดเลือกให้เป็นตัวแทนประชาชน อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวยังไม่มีการวางแผนแต่จะพิจารณาตามสถานการณ์ที่จะ เกิดขึ้นต่อไป เชื่อว่าประชาชนทั้งประเทศไม่อยากเห็นนายกรัฐมนตรีที่รับฟังเสียงของประชาชนและเมื่อประชาชนไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังดันทุรังดำเนินการต่อซึ่งจะเป็นอันตรายต่อประเทศ
โดยนางบุญยืน กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ เคยกล่าวไว้ว่า จะต้องมีการปฏิรูปต่อการเลือกตั้ง รวมทั้งเรื่องพลังงาน ที่เป็นหัวข้อหนึ่งในการปฏิรูป หากไม่ชะลอการให้สัมปทานครั้งนี้ อาจจะต้องรอไปถึง 30 ปี ก็เท่ากับเป็นการปิดประตูปฏิรูปพลังงาน จึงขอให้นายกรัฐมนตรีฟังเสียงของ สปช.ด้วย
ดังนั้นจึงขอเสนอให้ 1. ให้ชะลอการเปิดสัมปทานปิโตรเลียม รอบที่ 21 2. ให้พิจารณามอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสำรวจเพื่อให้ทราบถึง ข้อมูลในปริมาณปิโตรเลียมเบื้องต้นก่อนที่จะดำเนินการให้สิทธิในการผลิตแก่ เอกชน และ 3. ให้ปฏิรูปการให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม โดยให้มีการศึกษาที่เป็นอิสระ ปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อน เพื่อออกกฏหมายว่า ด้วยปิโตรเลียมฉบับใหม่ที่กำหนดให้ใช้ระบบการให้สิทธิและ สำรวจระบบปิโตรเลียมด้วยระบบอื่นที่มิใช่ระบบสัมปทาน เพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน
“นายกเข้ามาเพราะการชุมนุม อยากให้คนไทยปรองดองแต่ถ้านายกทำอะไรที่ฝืนกระแสสังคมต่อให้ออกกฎหมายอีก 100 ฉบับ ก็หยุดเราไม่ได้” นางบุญยืนกล่าว
ด้านม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯ ได้มีการจัดทำรายงาน การพิจารณาเรื่องการเปิดสัปทานปิโตรเลียมครั้งที่ 21 และเสนอต่อที่ประชุม สปช. ซึ่งตนได้มีการนำเสนอข้อมูลเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของระบบสัมปทานและระบบ แบ่งปันผลผลิต แต่ในส่วนของรายงานนั้นกลับไม่พบคำชี้แจงของตนทั้งนี้ในวันที่ 23 ม.ค. เวลา 10.00 น. ที่อาคารทีเอสทีทาวเวอร์ ชั้น 22 ตนจะเปิดเผยเอกสารหลักฐานที่ถูกบิดเบือนจากข้อเท็จจริงเพื่อให้รัฐบาลประกอบการพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้นายปานเทพ กล่าวว่า หากรัฐบาลตัดสินใจเดินหน้าเปิดสัมปทานปิโตรเลียมครั้งที่ 21 ถือว่า นายกรัฐมนตรีผิดคำพูดต่อประชาชนและ ไม่ฟังเสียง สปช. ซึ่งเป็นผู้ที่นายกรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คัดเลือกให้เป็นตัวแทนประชาชน อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวยังไม่มีการวางแผนแต่จะพิจารณาตามสถานการณ์ที่จะ เกิดขึ้นต่อไป เชื่อว่าประชาชนทั้งประเทศไม่อยากเห็นนายกรัฐมนตรีที่รับฟังเสียงของประชาชนและเมื่อประชาชนไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังดันทุรังดำเนินการต่อซึ่งจะเป็นอันตรายต่อประเทศ
