พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(รองผบช.น.) ดูแลงานจราจรเปิดเผยว่า จากที่ผ่านมาทางบช.น.ได้ออกมาตรการ 5 จริง 6 จอม เพื่อปรับพฤตินิสัยผู้ขับขี่รถบนท้องถนนให้ปฏิบัติตามกฎหมายจราจร เพื่อเป็นการคืนผิวจราจรและแก้ไขปัญหารถติด
โดยที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 88 สน.รวมทั้งกองบังคับการตำรวจจราจร(บก.จร.) ได้ดำเนินการจับกุมและบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาตรการดังกล่าวสามารถช่วยแก้ไขปัญหารถติดได้ โดยเฉพาะการล็อคล้อรถที่จอดในที่ห้าม ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามียอดการจับกุมเพิ่มมากขึ้นโดยในเดือนพ.ย.-ธ.ค2557 มีผู้กระทำความผิดมาตรการ 5 จริงทั้งสิ้น 32,413 ราย พบว่าเพิ่มขึ้นกว่าเดือนก.ค.-ต.ค.2557 ถึง 7,211 ราย โดยมาตรการที่จับกุมได้มากที่สุด คือมาตรการจอดรถในที่ห้ามจอด ด้านมาตรการ 6 จอม มีผู้กระทำความผิดทั้งสิ้นจำนวน 20,142 โดยมาตรการที่มีการจับกุมมากที่สุดคือมาตรการขับรถย้อนศร
พล.ต.ต.อดุลย์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ตนยังได้กำชับให้ดำเนินการมาตรการเพื่อลดอุบัติเหตุด้านการจราจรซึ่งจะเน้นการจับกุมผู้ไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่คาดเข็มขัดและผู้ที่ฝ่าฝืนขับรถบนทางเท้า ที่ส่งผลกระทบต่อการสัญจรของประชาชนซึ่งจับกุมได้ทั้งสิ้น 40,883 ราย โดยจับกุมได้มากที่สุดคือการไม่สวมหมวกนิรภัยจำนวนทั้งสิ้น 15,426 รายขับรถบนทางเท้า 6,559 ราย แม้ว่าตำรวจจะมีการจับกุมอย่างต่อเนื่อง ก็ยังพบว่ามีประชาชนฝ่าฝืนเป็นจำนวนมาก
เนื่องจากประชาชนยังเห็นการกระทำความผิดในมาตรการดังกล่าวยังถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยและค่าปรับไม่สูง ดังนั้นบช.น.จึงได้มีการเสนอแก้ไขกฎหมายพรบ.จราจรทางบก 2522 ไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) โดยให้มีการเพิ่มโทษและค่าปรับให้สูงขึ้นเนื่องจากกฎหมายจราจรมีการกำหนดโทษและค่าปรับมานานแต่ยังไม่มีการเพิ่มบทลงโทษให้เหมาะสม ทั้งนี้เพื่อจะทำให้ประชาชนมีความเกรงกลัวต่อความผิดซึ่งหากสตช.เห็บชอบเบื้องต้น ก็จะนำไปสู้ขบวนการปรับแก้กฎหมาย
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ยังรอความชัดเจนในการแก้ไขตนได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ปรับผู้ที่กระทำความผิดกฎหมายจราจรในข้อหาต่างๆตามอัตราสูงสุดโดยเฉพาะ ข้อหาที่อยู่ระหว่างการรณรงค์อาทิ ไม่สวมหมวกกันน็อคจอดรถในที่ห้ามจอด ขับรถย้อนศรขับรถบนทางเท้าโดยอัตราค่าปรับสูงสูดคือปรับตั้งแต่ 500-1,000 บาทจากปัจจุบันข้อหาเหล่านี้จะมีการปรับเพียงแค่ 200-300 บาทเท่านั้น.
โดยที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 88 สน.รวมทั้งกองบังคับการตำรวจจราจร(บก.จร.) ได้ดำเนินการจับกุมและบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาตรการดังกล่าวสามารถช่วยแก้ไขปัญหารถติดได้ โดยเฉพาะการล็อคล้อรถที่จอดในที่ห้าม ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามียอดการจับกุมเพิ่มมากขึ้นโดยในเดือนพ.ย.-ธ.ค2557 มีผู้กระทำความผิดมาตรการ 5 จริงทั้งสิ้น 32,413 ราย พบว่าเพิ่มขึ้นกว่าเดือนก.ค.-ต.ค.2557 ถึง 7,211 ราย โดยมาตรการที่จับกุมได้มากที่สุด คือมาตรการจอดรถในที่ห้ามจอด ด้านมาตรการ 6 จอม มีผู้กระทำความผิดทั้งสิ้นจำนวน 20,142 โดยมาตรการที่มีการจับกุมมากที่สุดคือมาตรการขับรถย้อนศร
พล.ต.ต.อดุลย์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ตนยังได้กำชับให้ดำเนินการมาตรการเพื่อลดอุบัติเหตุด้านการจราจรซึ่งจะเน้นการจับกุมผู้ไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่คาดเข็มขัดและผู้ที่ฝ่าฝืนขับรถบนทางเท้า ที่ส่งผลกระทบต่อการสัญจรของประชาชนซึ่งจับกุมได้ทั้งสิ้น 40,883 ราย โดยจับกุมได้มากที่สุดคือการไม่สวมหมวกนิรภัยจำนวนทั้งสิ้น 15,426 รายขับรถบนทางเท้า 6,559 ราย แม้ว่าตำรวจจะมีการจับกุมอย่างต่อเนื่อง ก็ยังพบว่ามีประชาชนฝ่าฝืนเป็นจำนวนมาก
เนื่องจากประชาชนยังเห็นการกระทำความผิดในมาตรการดังกล่าวยังถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยและค่าปรับไม่สูง ดังนั้นบช.น.จึงได้มีการเสนอแก้ไขกฎหมายพรบ.จราจรทางบก 2522 ไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) โดยให้มีการเพิ่มโทษและค่าปรับให้สูงขึ้นเนื่องจากกฎหมายจราจรมีการกำหนดโทษและค่าปรับมานานแต่ยังไม่มีการเพิ่มบทลงโทษให้เหมาะสม ทั้งนี้เพื่อจะทำให้ประชาชนมีความเกรงกลัวต่อความผิดซึ่งหากสตช.เห็บชอบเบื้องต้น ก็จะนำไปสู้ขบวนการปรับแก้กฎหมาย
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ยังรอความชัดเจนในการแก้ไขตนได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ปรับผู้ที่กระทำความผิดกฎหมายจราจรในข้อหาต่างๆตามอัตราสูงสุดโดยเฉพาะ ข้อหาที่อยู่ระหว่างการรณรงค์อาทิ ไม่สวมหมวกกันน็อคจอดรถในที่ห้ามจอด ขับรถย้อนศรขับรถบนทางเท้าโดยอัตราค่าปรับสูงสูดคือปรับตั้งแต่ 500-1,000 บาทจากปัจจุบันข้อหาเหล่านี้จะมีการปรับเพียงแค่ 200-300 บาทเท่านั้น.
