นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงกรณี นายนพพร ศุภพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด หรือดับเบิลยูอีเอช ผู้ต้องหาจ้างวาน เครือข่ายแอบอ้างสถาบันอุ้มลดหนี้ ได้หลบหนีออกนอกประเทศว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อสินเชื่อของธนาคาร ที่ได้ปล่อยกู้ให้กับบริษัทวินด์ เอนเนอร์ยี่ จำกัด ที่ทำธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังลม เนื่องจากบริษัท ยังดำเนินการเป็นปกติ และได้ผลิตกระแสไฟฟ้า ส่งขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต หรือกฟผ. มากกว่า 1 ปี และได้ทยอยชำระหนี้เงินกู้ให้กับธนาคารเจ้าหนี้แล้ว
ทั้งนี้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม อยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 2 โครงการ มีกำลังการผลิตรวม 207 เมกกะวัตต์ มูลค่าโครงการรวม 12,600 ล้านบาท มีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อ 70 % ของโครงการ หรือ 8,820 ล้านบาท โดยสินเชื่อที่ปล่อยไปเป็นรูแบบของซินดิเคทโลน หรือการปล่อยสินเชื่อรวมของหลายสถาบันการเงิน โดยมีธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นแกนนำ ซึ่งธนาคารกสิกรไทย ได้ปล่อยสินเชื่อคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของสินเชื่อรวม โดยในสัญญาการรับซื้อไฟฟ้า กฟผ. รับซื้อในราคาหน่วยละ 3.50 บาท ระยะเวลา 5 ปี และเมื่อครบสัญญาต่อได้อีก 5 ปี
สำหรับสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการ ประกอบด้วย บริษัท อีโอลัส จำกัด สัดส่วน 60 % บริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) 20 % และกลุ่มจูบุ 20 % อย่างไรก็ตาม ในบริษัทอีโอลัส จำกัด มีสัดส่วนการถือหุ้นของ วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง 74 % และอีก 26 % ถือหุ้นโดย บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน)
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม เขาค้อ วินด์ ที่มีมูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท กำลังการผลิต 60 เมกกะวัตต์ ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น จากราชบุรีโฮลดิ้ง เดิมถือหุ้น 60 % เปลี่ยนเป็นกลุ่มซีพี และอยู่ในขั้นตอนของการอนุมัติสินเชื่อ
ด้านนายอาทิตย์ นันทวิทยา รองผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีนายนพพร ศุภพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด หรือดับเบิลยูอีเอช ผู้องหาจ้างวาน เครือข่ายแอบอ้างสถาบันอุ้มลดหนี้ ได้หลบหนีออกนอกประเทศว่า ธนาคารไม่ได้ปล่อยกู้โดยตรงให้กับวินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง แต่เป็นผู้ปล่อยกู้ร่วมผู้ร่วมลงทุนโครงการพลังงานลมวงเงินประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท ซึ่งบริษัท วินฯ เป็นผู้ถือหุ้นส่วนหนึ่งเท่านั้น และการปล่อยกู้ที่ผ่านมามีธนาคารพาณิชย์หลายแห่งร่วมปล่อยกู้โครงการ นอกจากนี้ปัจจุบันธุรกิจดำเนินการได้ด้วยดีมีการชำระหนี้กับเจ้าหนี้ และแนวโน้มการทำธุรกิจมีอนาคต
สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้นเท่านั้นจึงต้องรอศาลพิพากษาว่าผลจะเป็นอย่างไร หากศาลพิพากษาว่านายนพพร มีความผิดก็เป็นเรื่องของบุคคลไม่เกี่ยวข้องกับโครงการ และการแก้ปัญหาอาจจะหาผู้ถือหุ้นรายใหม่เข้ามาถือหุ้นแทน
ทั้งนี้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม อยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 2 โครงการ มีกำลังการผลิตรวม 207 เมกกะวัตต์ มูลค่าโครงการรวม 12,600 ล้านบาท มีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อ 70 % ของโครงการ หรือ 8,820 ล้านบาท โดยสินเชื่อที่ปล่อยไปเป็นรูแบบของซินดิเคทโลน หรือการปล่อยสินเชื่อรวมของหลายสถาบันการเงิน โดยมีธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นแกนนำ ซึ่งธนาคารกสิกรไทย ได้ปล่อยสินเชื่อคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของสินเชื่อรวม โดยในสัญญาการรับซื้อไฟฟ้า กฟผ. รับซื้อในราคาหน่วยละ 3.50 บาท ระยะเวลา 5 ปี และเมื่อครบสัญญาต่อได้อีก 5 ปี
สำหรับสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการ ประกอบด้วย บริษัท อีโอลัส จำกัด สัดส่วน 60 % บริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) 20 % และกลุ่มจูบุ 20 % อย่างไรก็ตาม ในบริษัทอีโอลัส จำกัด มีสัดส่วนการถือหุ้นของ วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง 74 % และอีก 26 % ถือหุ้นโดย บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน)
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม เขาค้อ วินด์ ที่มีมูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท กำลังการผลิต 60 เมกกะวัตต์ ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น จากราชบุรีโฮลดิ้ง เดิมถือหุ้น 60 % เปลี่ยนเป็นกลุ่มซีพี และอยู่ในขั้นตอนของการอนุมัติสินเชื่อ
ด้านนายอาทิตย์ นันทวิทยา รองผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีนายนพพร ศุภพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด หรือดับเบิลยูอีเอช ผู้องหาจ้างวาน เครือข่ายแอบอ้างสถาบันอุ้มลดหนี้ ได้หลบหนีออกนอกประเทศว่า ธนาคารไม่ได้ปล่อยกู้โดยตรงให้กับวินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง แต่เป็นผู้ปล่อยกู้ร่วมผู้ร่วมลงทุนโครงการพลังงานลมวงเงินประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท ซึ่งบริษัท วินฯ เป็นผู้ถือหุ้นส่วนหนึ่งเท่านั้น และการปล่อยกู้ที่ผ่านมามีธนาคารพาณิชย์หลายแห่งร่วมปล่อยกู้โครงการ นอกจากนี้ปัจจุบันธุรกิจดำเนินการได้ด้วยดีมีการชำระหนี้กับเจ้าหนี้ และแนวโน้มการทำธุรกิจมีอนาคต
สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้นเท่านั้นจึงต้องรอศาลพิพากษาว่าผลจะเป็นอย่างไร หากศาลพิพากษาว่านายนพพร มีความผิดก็เป็นเรื่องของบุคคลไม่เกี่ยวข้องกับโครงการ และการแก้ปัญหาอาจจะหาผู้ถือหุ้นรายใหม่เข้ามาถือหุ้นแทน