นางนวลน้อย ตรีรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มผู้ค้าสลากรายย่อยและผู้ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลต่อการจัดการปัญหาของสำนักงานสลากฯ”จาก 9 จังหวัดได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ แพร่ อยุธยา สระแก้ว ขอนแก่น ศรีษะเกษ สุราษฎร์ธานี และพัทลุง ระหว่างวันที่7-15 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า กลุ่มผู้ซื้อสลากฯที่ทำการสำรวจ อายุระหว่าง 18-69 ปี 3,005 ตัวอย่าง 56.5% ซื้อสลากทุกงวดหรือเกือบทุกงวด 91.8% ซื้อสลากในราคาเกินคู่ละ 100 บาท 86.2% ซื้อสลากงวดละ1-3 คู่ และ 72.2% ระบุว่าซื้อหวยใต้ดินด้วย
ทั้งนี้ ผู้ซื้อสลาก 81.3% ระบุว่านโยบายควบคุมราคาของรัฐบาลปัจจุบันไม่มีผล เนื่องจากยังซื้อสลากราคาเท่าเดิม สำหรับความคิดเห็นต่อปัญหาการขายสลากเกินราคาผู้ซื้อมากกว่า 60% คิดว่ามาจาก2สาเหตุสำคัญ คือยี่ปั๊วรายใหญ่ปั่นราคาและขายต่อหลายทอดที่สำคัญ 75.6% เชื่อว่าหวยล็อคมีจริง
นายธน หาพิพัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ (เอสเอบี) กล่าวว่า กลุ่มผู้ซื้อและกลุ่มผู้ค้าสลากฯมากกว่า 80% ขึ้นไป เห็นตรงกันว่า ควรเพิ่มสัดส่วนการกระจายสลากให้ถึงมือผู้ค้าสลากรายย่อยโดยตรงให้มีไม่น้อยว่า 50 %และควรให้ความสำคัญในการจัดสรรโควตาให้กับกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุที่ไม่มีบำนาญ ผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มองค์กรสาธารณะกุศลที่จำหน่ายสลากจริงรวมถึงมีการขึ้นทะเบียนผู้จำหน่ายสลาก และจัดสรรรายได้ส่วนหนึ่งมาจัดตั้งเป็นกองทุนรับซื้อคืนสลากที่จำหน่ายไม่หมดและเป็นสวัสดิการให้ผู้ค้าสลากรายย่อยได้กู้ยืม
อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าสลากฯ 92.6 % ระบุว่าสำนักงานสลากฯควรจัดสรรโควตาให้ผู้ค้าสลากรายย่อยรายละไม่เกิน 10 เล่ม ขณะที่ผู้ซื้อ 93% เห็นว่าการออกสลากฯควรเปลี่ยนเป้าหมายจากการหารายได้เข้ารัฐเป็นสลากเพื่อสังคมนำเงินมาอุดหนุน หรือส่งเสริมเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ภาคประชาสังคมโดยมีตัวแทนภาคประชาชนร่วมกำกับดูแล
ทั้งนี้ ผู้ซื้อสลาก 81.3% ระบุว่านโยบายควบคุมราคาของรัฐบาลปัจจุบันไม่มีผล เนื่องจากยังซื้อสลากราคาเท่าเดิม สำหรับความคิดเห็นต่อปัญหาการขายสลากเกินราคาผู้ซื้อมากกว่า 60% คิดว่ามาจาก2สาเหตุสำคัญ คือยี่ปั๊วรายใหญ่ปั่นราคาและขายต่อหลายทอดที่สำคัญ 75.6% เชื่อว่าหวยล็อคมีจริง
นายธน หาพิพัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ (เอสเอบี) กล่าวว่า กลุ่มผู้ซื้อและกลุ่มผู้ค้าสลากฯมากกว่า 80% ขึ้นไป เห็นตรงกันว่า ควรเพิ่มสัดส่วนการกระจายสลากให้ถึงมือผู้ค้าสลากรายย่อยโดยตรงให้มีไม่น้อยว่า 50 %และควรให้ความสำคัญในการจัดสรรโควตาให้กับกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุที่ไม่มีบำนาญ ผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มองค์กรสาธารณะกุศลที่จำหน่ายสลากจริงรวมถึงมีการขึ้นทะเบียนผู้จำหน่ายสลาก และจัดสรรรายได้ส่วนหนึ่งมาจัดตั้งเป็นกองทุนรับซื้อคืนสลากที่จำหน่ายไม่หมดและเป็นสวัสดิการให้ผู้ค้าสลากรายย่อยได้กู้ยืม
อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าสลากฯ 92.6 % ระบุว่าสำนักงานสลากฯควรจัดสรรโควตาให้ผู้ค้าสลากรายย่อยรายละไม่เกิน 10 เล่ม ขณะที่ผู้ซื้อ 93% เห็นว่าการออกสลากฯควรเปลี่ยนเป้าหมายจากการหารายได้เข้ารัฐเป็นสลากเพื่อสังคมนำเงินมาอุดหนุน หรือส่งเสริมเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ภาคประชาสังคมโดยมีตัวแทนภาคประชาชนร่วมกำกับดูแล