xs
xsm
sm
md
lg

บลจ.กสิกรไทยขายกองตราสารหนี้ตปท.ผลตอบแทน 2.65%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ในวันที่ 21-27 ตุลาคม 2557 บลจ.กสิกรไทยจะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เอคิว (KEFF6MAQ) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.65% ต่อปี และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน อีวาย (KFI3MEY) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.25% ต่อปี โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน และสำหรับผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังได้เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนต่อเนื่องให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้แบบที่มีกำหนดอายุโครงการ (Fixed Term Fund) ของบลจ.กสิกรไทย ซึ่งเมื่อกองทุนครบกำหนดอายุโครงการ บริษัทจัดการจะนำเงินค่าขายคืนอัตโนมัติไปซื้อหน่วยลงทุนที่ผู้ลงทุนเลือกได้กองทุนใดกองทุนหนึ่งใน 3 กองทุน คือ กองทุนเปิดเค ตลาดเงิน (K-MONEY) กองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-TREASURY) หรือกองทุนเปิดเค เอ็มพลัส (K-MPLUS) ซึ่งอยู่ในกลุ่มกองทุนรวมตราสารหนี้ของบลจ.กสิกรไทย เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

“กองทุนตราสารหนี้ประเภทกำหนดอายุโครงการ (Fixed Term Fund) ยังคงเป็นกลุ่มกองทุนที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมของอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นปี 2557 ที่ผ่านมา ยังคงมีเม็ดเงินไหลเข้าอย่างต่อเนื่องมากกว่า 4 แสนล้านบาท โดยบลจ.กสิกรไทยยังครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งและเป็นผู้นำในกลุ่มกองทุนดังกล่าว ทั้งนี้ แม้ว่าความนิยมในกองทุนตราสารหนี้อาจลดลงกว่าในปี 2556 เนื่องจากปัจจุบันแนวโน้มอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนประเภทนี้เริ่มปรับตัวลดลงและมีแนวโน้มใกล้เคียงกับกองทุนตลาดเงิน หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น อย่างไรก็ตามจากปัจจัยเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความผันผวน โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง โดยเหตุการณ์ล่าสุดที่ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างปรับตัวลงแรง หลังจาก IMF และธนาคารโลก ได้ประกาศตัวเลข GDP ของเศรษฐกิจโลกที่แสดงถึงการเติบโตที่ลดลง โดยให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจในหลายภูมิภาค อาทิ ยุโรป จีน และญี่ปุ่นยังมีปัจจัยเสี่ยงจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และอาจฟื้นตัวได้ล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้นักลงทุนต่างเทขายหุ้นและทำให้ตลาดเกิดความผันผวนในระยะสั้น ดังนั้นผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้น้อย ควรมีการกระจายการลงทุนไปยังกองทุนตราสารหนี้โดยเฉพาะกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนและยังให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการลงทุนกับตราสารหนี้ภายในประเทศเพียงอย่างเดียว” นายนาวินกล่าว

นายนาวิน กล่าวว่า สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุน KEFF6MAQ จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบ ด้วยเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Garanti Bank, ประเทศตุรกี ร่วมด้วยตราสารหนี้ Agricultural Bank of China ตราสารหนี้ Akbank T.A.S., ประเทศตุรกี และตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A., ประเทศบราซิล โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท

สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่ยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการลงทุนกับตราสารหนี้ภายในประเทศเพียงอย่างเดียว บลจ.กสิกรไทย ขอแนะนำกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน อีวาย (KFI3MEY) ซึ่งจะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน), ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โดยตราสารที่กล่าวมามีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ทั้งนี้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท

สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกับกองทุน KEFF6MAQ และกองทุน KFI3MEY สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888 หรือที่ www.kasikornasset.com
กำลังโหลดความคิดเห็น