พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความสำเร็จในการเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ อย่างเป็นทางการ ว่า ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพลเอก เต็ง เส่ง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ โดยการเยือนเมียนมาร์เป็นประเทศแรก เพราะเป็นประธานอาเซียน จากนี้จะเดินทางเยือนประเทศอื่นๆ ต่อไป เพราะต้องการให้อาเซียนมีความเข้มแข็ง ทั้งทางด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และชายแดน รวมทั้งต้องการให้ลดอุปสรรคที่มีอยู่ในขณะนี้ให้หมดไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า การพูดคุยไม่ได้จำกัดเพียงผลประโยชน์ของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ต้องให้เกิดความเข้มแข็งควบคู่กันไป ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้อาเซียนเข้มแข็งในอนาคต เช่น การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ที่เกิดจากความร่วมมือไทย-เมียนมาร์ ที่มีความคืบหน้า ทั้งนี้ หากไทย-เมียนมาร์ สามารถสร้างความมั่นใจได้ นักลงทุนต่างชาติก็จะเข้ามาร่วมลงทุน ซึ่งปีหน้าจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ดังนั้น จึงต้องศึกษาและลดอุปสรรคเพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศและอาเซียนเติบโตไปพร้อมกัน
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีพบปะนักธุรกิจไทยในเมียนมาร์ จำนวน 50 คน จาก 6 สาขา ประกอบด้วย สาขาการค้าสินค้าและนำเข้า การเกษตรและประมง ธุรกิจโรงแรม อุตสาหกรรมและพลังงาน โลจิสติกส์ การสื่อสารและไอที ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการส่งเสริมโอกาสทางเศรษฐกิจของภาคเอกชนไทย โดยเฉพาะนักธุรกิจที่เข้ามาเปิดตลาดและลงทุนในเมียนมาร์ ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศ รัฐบาลจึงได้เพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการให้เข้มแข็ง สามารถแข่งขันกับต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า การพูดคุยไม่ได้จำกัดเพียงผลประโยชน์ของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ต้องให้เกิดความเข้มแข็งควบคู่กันไป ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้อาเซียนเข้มแข็งในอนาคต เช่น การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ที่เกิดจากความร่วมมือไทย-เมียนมาร์ ที่มีความคืบหน้า ทั้งนี้ หากไทย-เมียนมาร์ สามารถสร้างความมั่นใจได้ นักลงทุนต่างชาติก็จะเข้ามาร่วมลงทุน ซึ่งปีหน้าจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ดังนั้น จึงต้องศึกษาและลดอุปสรรคเพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศและอาเซียนเติบโตไปพร้อมกัน
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีพบปะนักธุรกิจไทยในเมียนมาร์ จำนวน 50 คน จาก 6 สาขา ประกอบด้วย สาขาการค้าสินค้าและนำเข้า การเกษตรและประมง ธุรกิจโรงแรม อุตสาหกรรมและพลังงาน โลจิสติกส์ การสื่อสารและไอที ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการส่งเสริมโอกาสทางเศรษฐกิจของภาคเอกชนไทย โดยเฉพาะนักธุรกิจที่เข้ามาเปิดตลาดและลงทุนในเมียนมาร์ ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศ รัฐบาลจึงได้เพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการให้เข้มแข็ง สามารถแข่งขันกับต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ