น.ส.ลัษมณ อรรถาพิช เศรษฐกรอาวุโส ประจำประเทศไทย ธนาคารพัฒนาเอเซีย (ADB) แถลงว่า เอดีบีได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงเหลือร้อยละ 1.6 จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ที่ร้อยละ 2.9 เนื่องจากการหดตัวของเศรษฐกิจในครึ่งปีแรกที่ปรับตัวลดลงแรงกว่าคาดการณ์ โดยติดลบร้อยละ 0.1 และข้อมูลเศรฐกิจในเดือนกรกฎาคม แสดงให้เห็นว่าภาคการผลิต การส่งออก และการนำเข้ายังไม่ฟื้นตัวนัก ส่วนในปี 58 ยังคงคาดการณ์เศรษฐกิจไทยไว้ที่ร้อยละ 4.5 เท่าประมาณการเดิม
ทั้งนี้ เอดีบีคาดการณ์การขยายตัวการส่งออกของไทยในปีนี้ที่ร้อยละ 1 โดยมองว่าการส่งออกจะดีขึ้นในปี 2558 คาดว่าโตร้อยละ 6-7 โดยได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลัก และการนำเข้าจะเพิ่มขึ้นตามการลงทุนเพื่อการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทำให้ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลน้อยลง อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ในครั้งนี้ยังไม่รวมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่กำลังจะออกมาในระยะต่อไป โดยมีเพียงการประเมินแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน วงเงิน 2.4 ล้านล้านบาทเท่านั้น
เศรษฐกรอาวุโสประจำเอดีบี ระบุด้วยว่า เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความล่าช้าในการดำเนินโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะอัตราการเพิ่มขึ้นของหนี้ค้างชำระ 3 เดือน ที่เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ปี 2556 เป็นร้อยละ 31 ซึ่งมีความเสี่ยงว่าอาจเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในระบบในอนาคต จะส่งผลให้แรงกดดันด้านการเงินของครัวเรือนจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในปีนี้ คาดว่าอยู่ที่ร้อยละ 2.2 และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2558 มาอยู่ที่ร้อยละ 2.6 ตามการปรับโครงสร้างราคาพลังงานที่สูงขึ้น และกระทบต่อต้นทุนการผลิต ซึ่งต้องจับตาการปฎิรูปพลังงานและภาษีของประเทศ และสนับสนุนให้มีการจัดโซนนิ่งภาคการเกษตร
ทั้งนี้ เอดีบีคาดการณ์การขยายตัวการส่งออกของไทยในปีนี้ที่ร้อยละ 1 โดยมองว่าการส่งออกจะดีขึ้นในปี 2558 คาดว่าโตร้อยละ 6-7 โดยได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลัก และการนำเข้าจะเพิ่มขึ้นตามการลงทุนเพื่อการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทำให้ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลน้อยลง อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ในครั้งนี้ยังไม่รวมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่กำลังจะออกมาในระยะต่อไป โดยมีเพียงการประเมินแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน วงเงิน 2.4 ล้านล้านบาทเท่านั้น
เศรษฐกรอาวุโสประจำเอดีบี ระบุด้วยว่า เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความล่าช้าในการดำเนินโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะอัตราการเพิ่มขึ้นของหนี้ค้างชำระ 3 เดือน ที่เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ปี 2556 เป็นร้อยละ 31 ซึ่งมีความเสี่ยงว่าอาจเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในระบบในอนาคต จะส่งผลให้แรงกดดันด้านการเงินของครัวเรือนจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในปีนี้ คาดว่าอยู่ที่ร้อยละ 2.2 และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2558 มาอยู่ที่ร้อยละ 2.6 ตามการปรับโครงสร้างราคาพลังงานที่สูงขึ้น และกระทบต่อต้นทุนการผลิต ซึ่งต้องจับตาการปฎิรูปพลังงานและภาษีของประเทศ และสนับสนุนให้มีการจัดโซนนิ่งภาคการเกษตร
