นายอดิศักดิ์ ขันตี ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ กล่าวว่า กรุงเทพมหานคร (กทม.) ต้องเฝ้าระวังปริมาณน้ำฝนที่จะตกลงมาในช่วง 7 วันนี้ จากย่อมความกดอากาศต่ำยังพาดผ่าน ประกอบกับมีลมมรสุมในทะเลอันดามัน ส่งผลให้ในหลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลจะมีฝนตกกระจายร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ รวมทั้งต้องติดตามและเฝ้าระวังปริมาณน้ำหลากจากภาคเหนือและพระนครศรีอยุธยา ที่คาดว่าจะไหลหลากลงมาพื้นที่ภาคกลางในอีก 2 สัปดาห์ โดยได้แจ้งให้พื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร ทั้ง 50 เขต เตรียมพร้อมรับมือน้ำ โดยเฉพาะช่วงเดือนกันยายน ถึงพฤศจิกายนนี้ จะมีค่าเฉลี่ยน้ำฝนตกลงมาไม่ต่ำกว่า 1,500 ลูกบาศก์เมตร หรือเฉลี่ย 60 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง
ทั้งนี้ แม่น้ำเจ้าพระยามีศักยภาพรองรับน้ำของพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้สูงสุด 3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ทำให้แม่น้ำเจ้าพระยายังสามารถรับน้ำในฤดูฝนนี้ ได้กว่า 1,900 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง และระดับตลิ่งของแม่น้ำยังอยู่ที่ 90 เซนติเมตร ถือว่ารองรับปริมาณน้ำหลากลงมาจากภาคเหนือผ่านจังหวัดนครสวรรค์เข้าพื้นที่ภาคกลางเพื่อระบายลงแม่น้ำเจ้าพระยา และฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ขณะที่การแก้ปัญพื้นผิวการจราจรในกรุงเทพมหานคร 54 จุด ได้ดำเนินการไปแล้วเหลือพื้นที่เพียง 24 จุดเท่านั้น ในการเชื่อมต่อท่อระบายน้ำ และติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติม
นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังได้เตรียมพื้นที่แก้มลิง จำนวน 25 แห่ง สามารถกักเก็บปริมาณน้ำได้ 13.05 ล้านลูกบาศก์เมตร ติดตั้งสถานีสูบน้ำ 833 เครื่อง สามารถระบายน้ำได้ 1,600 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง อุโมงค์ระบายน้ำ 7 แห่ง ทำงานตามปกติในการระบายน้ำคลองเส้นหลัก เช่น คลองเปรมประชากร คลองลาดพร้าว พร้อมทั้ง ติดตั้งเคลื่องผลักดันน้ำเพิ่มเติมใน 15 คลอง จำนวน 31 จุด รวม 212 เครื่อง โดยติดตั้งเสร็จแล้ว 44 เครื่อง ส่วนอีก 53 เครื่องจะติดตั้งด้านฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร เช่น ลาดกระบัง เพื่อป้องกันไม่ให้ปริมาณน้ำไหลหลากเข้าพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นใน รวมทั้งได้เตรียมกระสอบทรายรองรับน้ำหนุนช่วงกลางเดือนกันยายนนี้ กว่า 5 ล้านใบ
ทั้งนี้ แม่น้ำเจ้าพระยามีศักยภาพรองรับน้ำของพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้สูงสุด 3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ทำให้แม่น้ำเจ้าพระยายังสามารถรับน้ำในฤดูฝนนี้ ได้กว่า 1,900 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง และระดับตลิ่งของแม่น้ำยังอยู่ที่ 90 เซนติเมตร ถือว่ารองรับปริมาณน้ำหลากลงมาจากภาคเหนือผ่านจังหวัดนครสวรรค์เข้าพื้นที่ภาคกลางเพื่อระบายลงแม่น้ำเจ้าพระยา และฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ขณะที่การแก้ปัญพื้นผิวการจราจรในกรุงเทพมหานคร 54 จุด ได้ดำเนินการไปแล้วเหลือพื้นที่เพียง 24 จุดเท่านั้น ในการเชื่อมต่อท่อระบายน้ำ และติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติม
นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังได้เตรียมพื้นที่แก้มลิง จำนวน 25 แห่ง สามารถกักเก็บปริมาณน้ำได้ 13.05 ล้านลูกบาศก์เมตร ติดตั้งสถานีสูบน้ำ 833 เครื่อง สามารถระบายน้ำได้ 1,600 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง อุโมงค์ระบายน้ำ 7 แห่ง ทำงานตามปกติในการระบายน้ำคลองเส้นหลัก เช่น คลองเปรมประชากร คลองลาดพร้าว พร้อมทั้ง ติดตั้งเคลื่องผลักดันน้ำเพิ่มเติมใน 15 คลอง จำนวน 31 จุด รวม 212 เครื่อง โดยติดตั้งเสร็จแล้ว 44 เครื่อง ส่วนอีก 53 เครื่องจะติดตั้งด้านฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร เช่น ลาดกระบัง เพื่อป้องกันไม่ให้ปริมาณน้ำไหลหลากเข้าพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นใน รวมทั้งได้เตรียมกระสอบทรายรองรับน้ำหนุนช่วงกลางเดือนกันยายนนี้ กว่า 5 ล้านใบ
