แม้สำนักงานอัยการ จ.เลย จะไม่สั่งฟ้องคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ป่าภูเปือย ภูขี่เถ้า และป่าภูเรือ อ.ภูเรือ จ.เลย เนื้อที่ 184 ไร่ เมื่อปี 2547 แต่จากการเข้าตรวจสอบของคณะทำงานด้านกฎหมาย กองกำลังรักษาความสงบ กองทัพภาคที่ 2 และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง จ.เลยพบว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1A ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญ ไม่สามารถเข้าทำประโยชน์ หรือใช้เป็นที่พักอาศัยได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ จ.เลย เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บุกรุก และเตรียมรื้อฟื้นคดีอีกครั้ง
สำหรับที่ดินที่ถูกบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติป่าภูเปือย ภูขี่เถ้า และป่าภูเรือ มีทั้งหมด 10 แปลง เนื้อที่ 787 ไร่ จำนวนนี้พบว่า เป็นของผู้บริหารสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง แต่ได้มีการซื้อขายเปลี่ยนมือแล้ว และในปี 2547 เจ้าหน้าที่ได้เข้ายึดพื้นที่ป่า และจับกุมผู้กระทำความผิดรวม 10 คดี ได้ผู้ต้องหา 5 คน แต่เมื่อคดีถึงชั้นศาลพบว่า บางคดีศาลตัดสินเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับแปรรูป กับไม้แปรรูป ส่วนพื้นที่ป่าที่บุกรุกที่ถือครอบครองไม่มีกล่าวถึง และบางคดีอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง และงดการสอบสวน ทำให้กองทัพภาคที่ 2 สั่งให้ดำเนินการฟ้องร้องใหม่ในคดีเดิม ซึ่งมีพื้นที่ที่ถูกบุกรุกเกือบ 900 ไร่
สำหรับที่ดินที่ถูกบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติป่าภูเปือย ภูขี่เถ้า และป่าภูเรือ มีทั้งหมด 10 แปลง เนื้อที่ 787 ไร่ จำนวนนี้พบว่า เป็นของผู้บริหารสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง แต่ได้มีการซื้อขายเปลี่ยนมือแล้ว และในปี 2547 เจ้าหน้าที่ได้เข้ายึดพื้นที่ป่า และจับกุมผู้กระทำความผิดรวม 10 คดี ได้ผู้ต้องหา 5 คน แต่เมื่อคดีถึงชั้นศาลพบว่า บางคดีศาลตัดสินเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับแปรรูป กับไม้แปรรูป ส่วนพื้นที่ป่าที่บุกรุกที่ถือครอบครองไม่มีกล่าวถึง และบางคดีอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง และงดการสอบสวน ทำให้กองทัพภาคที่ 2 สั่งให้ดำเนินการฟ้องร้องใหม่ในคดีเดิม ซึ่งมีพื้นที่ที่ถูกบุกรุกเกือบ 900 ไร่
