นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงการที่อัยการสูงสุดไม่สั่งฟ้องคดีที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว เนื่องจากขาดหลักฐานและให้กลับไปทำสำนวนใหม่โดยชี้แจงว่า สำนวนที่ ป.ป.ช. ทำเป็นการชี้ให้เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามประมวลอาญา มาตรา 157 ที่เมื่อรู้ว่าความเสียหายเกิดขึ้นแล้วไม่ระงับยับยั้ง ซึ่งจากข้อมูลของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่ ป.ป.ช.แนบรายละเอียดก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ยึดมาเป็นหลักพิจารณา
ดังนั้นการพิจารณาของอัยการสูงสุดเป็นการมองคนละมุมกับ ป.ป.ช. โดยอัยการสูงสุดมองไปที่การทุจริตแต่ ป.ป.ช.มุ่งเน้นไปที่การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แต่เมื่ออัยการเห็นว่าสำนวนไม่สมบูรณ์ก็ไม่เป็นไร เพราะในอดีตก็มีการตั้งคณะทำงานร่วมร่วมกันมาหลายคดีแล้ว หลังจากนี้เมื่ออัยการสูงสุดทำหนังสือแจ้งรายละเอียดมายัง ป.ป.ช.แล้ว จะมีการตั้งคณะทำงานร่วมกันภายใน 14 วัน เพื่อสำนวนให้มีสมบูรณ์มากขึ้น และหากท้ายที่สุดอัยการสูงสุดไม่สั่งฟ้องทาง ป.ป.ช.ก็จะจ้างทนายฟ้องเอง ยืนยันว่า การตรวจสอบรายละเอียดของโครงการรับจำนำข้าวไม่ได้เร่งรีบ แต่ทำด้วยความรอบคอบ และในหลักฐานก็มีความหนักแน่น ทั้งนี้จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู้ที่ประชุมในวันที่ 9 กันยายนนี้
ดังนั้นการพิจารณาของอัยการสูงสุดเป็นการมองคนละมุมกับ ป.ป.ช. โดยอัยการสูงสุดมองไปที่การทุจริตแต่ ป.ป.ช.มุ่งเน้นไปที่การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แต่เมื่ออัยการเห็นว่าสำนวนไม่สมบูรณ์ก็ไม่เป็นไร เพราะในอดีตก็มีการตั้งคณะทำงานร่วมร่วมกันมาหลายคดีแล้ว หลังจากนี้เมื่ออัยการสูงสุดทำหนังสือแจ้งรายละเอียดมายัง ป.ป.ช.แล้ว จะมีการตั้งคณะทำงานร่วมกันภายใน 14 วัน เพื่อสำนวนให้มีสมบูรณ์มากขึ้น และหากท้ายที่สุดอัยการสูงสุดไม่สั่งฟ้องทาง ป.ป.ช.ก็จะจ้างทนายฟ้องเอง ยืนยันว่า การตรวจสอบรายละเอียดของโครงการรับจำนำข้าวไม่ได้เร่งรีบ แต่ทำด้วยความรอบคอบ และในหลักฐานก็มีความหนักแน่น ทั้งนี้จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู้ที่ประชุมในวันที่ 9 กันยายนนี้