เมื่อเวลา 16.00 น.ที่ผ่านมา มีการประชุมคณะกรรมาธิการสามัญยกร่างข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ.2557 ครั้งแรก ทั้งนี้ ที่ประชุมกรรมาธิการได้เลือกนายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 2 เป็นประธานคณะ กมธ. มี พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม และ ร.ศ.ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน เป็นรองประธาน กมธ.ขณะที่เลขานุการคือ พล.อ.สกนธ์ สัจจานิตย์ สนช. และนายตวง นันทชัย สนช. เป็นโฆษกคณะกรรมาธิการ ส่วนตำแหน่งที่ปรึกษา กมธ.มีทั้งสิ้น 3 คน ประกอบไปด้วย ผศ.วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ และนายชูเกียรติ รัตนชัยชาญ
นายพีระศักดิ์ ได้ระบุในที่ประชุม ว่า การแต่งตั้งคณะทำงานในวาระที่ 1 นี้ ใช้ข้อบังคับการประชุม สนช.ปี 2549 เท่าที่เกี่ยวข้องกับคณะ กมธ.นี้เท่านั้น ซึ่งตนได้มีการปรึกษาหารือกับประธาน และรองประธาน สนช.แล้วว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่ควรที่จะตั้งคณะกรรมาธิการซ้ำซ้อน ควรจะเป็นเหมือนในปี 2549 คือไม่เกิน 20 คณะ และควรให้ สนช.ทุกคนอยู่ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการได้ไม่เกิน 2 คณะ ยกเว้นประธานคณะกรรมาธิการทุกกรรมาธิการ เป็นได้แค่คณะเดียว เพราะจะต้องดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการประสานงาน (วิป) ของสภาอยู่แล้ว และให้ทุก กมธ.จะมีอนุ กมธ.ได้ไม่เกิน 3 อนุฯ เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณและลดภาระของข้าราชการ โดยจะมีผลบังคับใช้หรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับการอภิปรายและลงมติในที่ประชุมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ เรามีเวลาร่างข้อบังคับให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน ซึ่งหากในวันที่ 21 สิงหาคม ประธาน สนช.บรรจุวาระการประชุมให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรี ก็ไม่อาจยกร่างข้อบังคับได้ทัน ประธานในที่ประชุมจึงอาจใช้อำนาจขออนุโลม นำข้อบังคับหมวดที่ 8 การพิจารณาให้ความเห็นชอบนายกรัฐมนตรี ที่ร่างไว้ มาใช้ในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี จึงอยากให้คณะกรรมาธิการศึกษาร่างข้อบังคับในหมวด 8 ไว้ด้วย
นายพีระศักดิ์ ได้ระบุในที่ประชุม ว่า การแต่งตั้งคณะทำงานในวาระที่ 1 นี้ ใช้ข้อบังคับการประชุม สนช.ปี 2549 เท่าที่เกี่ยวข้องกับคณะ กมธ.นี้เท่านั้น ซึ่งตนได้มีการปรึกษาหารือกับประธาน และรองประธาน สนช.แล้วว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่ควรที่จะตั้งคณะกรรมาธิการซ้ำซ้อน ควรจะเป็นเหมือนในปี 2549 คือไม่เกิน 20 คณะ และควรให้ สนช.ทุกคนอยู่ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการได้ไม่เกิน 2 คณะ ยกเว้นประธานคณะกรรมาธิการทุกกรรมาธิการ เป็นได้แค่คณะเดียว เพราะจะต้องดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการประสานงาน (วิป) ของสภาอยู่แล้ว และให้ทุก กมธ.จะมีอนุ กมธ.ได้ไม่เกิน 3 อนุฯ เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณและลดภาระของข้าราชการ โดยจะมีผลบังคับใช้หรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับการอภิปรายและลงมติในที่ประชุมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ เรามีเวลาร่างข้อบังคับให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน ซึ่งหากในวันที่ 21 สิงหาคม ประธาน สนช.บรรจุวาระการประชุมให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรี ก็ไม่อาจยกร่างข้อบังคับได้ทัน ประธานในที่ประชุมจึงอาจใช้อำนาจขออนุโลม นำข้อบังคับหมวดที่ 8 การพิจารณาให้ความเห็นชอบนายกรัฐมนตรี ที่ร่างไว้ มาใช้ในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี จึงอยากให้คณะกรรมาธิการศึกษาร่างข้อบังคับในหมวด 8 ไว้ด้วย