พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า จากกรณีเจ้าหน้าที่ 3 ฝ่าย เข้าติดตามจับกุมผู้ก่อความรุนแรงตามหมายจับในพื้นที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อเวลา 02.00 น.ที่ผ่านมา ทำให้สามารถจับกุม แกนนำผู้ก่อเหตุรุนแรงได้จำนวน 3 คน พร้อมตรวจยึดอาวุธปืน วัตถุระเบิด และอุปกรณ์ประกอบวัตถุระเบิด เป็นจำนวนมาก โดยผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ถูกจับกุม ประกอบด้วย นายอาสมาล เจะบา อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 47 หมู่ที่ 1 ตำบลแป้น อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี พฤติกรรมเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ มีหมายจับ ป.วิ.อาญา จำนวน 7 หมาย เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลอบวางระเบิดและลอบยิงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หลายเหตุการณ์
นายอาฟันดี กาพา อายุ 28 ปี บ้านเลขที่ 100 บ้านมะนังดาลำ หมู่ที่ 1 ตำบลมะนังดาลำ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี พฤติกรรมเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ (มือประกอบระเบิด) มีหมายจับ ป.วิ.อาญา จำนวน 2 หมาย เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลอบวางระเบิด และลอบยิงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หลายเหตุการณ์ และนายสุกรี สาแม บ้านเลขที่ 124 หมู่ที่ 6 ตำบลตะบิ้ง อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี พฤติกรรมเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับสั่งการ เกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หลายเหตุการณ์
พร้อมกันนี้ ได้ตรวจยึดอาวุธปืน จำนวน 5 กระบอก ประกอบด้วย ปืนเล็กยาว HK-33 จำนวน 1 กระบอก ปืนพกขนาด 9 มิลลิเมตร จำนวน 2 กระบอก ปืนพกขนาด .38 นิ้ว จำนวน 1 กระบอก ปืนเล็กยาว .22 มิลลิเมตร จำนวน 1 กระบอก และเครื่องกระสุนและอุปกรณ์อื่นๆ จำนวนหลายรายการ นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์ในการประกอบวัตถุระเบิดจำนวนมาก เช่น ถังแก็สขนาดบรรจุ 15 กิโลกรัม จำนวน 1 ถัง ขนาด 5 กิโลกรัม 1 ถัง และอุปกรณ์ประกอบวัตถุระเบิดอีกหลายรายการ รวมทั้งรถจักรยานยนต์พร้อมป้ายทะเบียนปลอม จำนวน 2 คัน
จากกรณีดังกล่าวกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้ชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจว่า ผลสำเร็จจากการปฏิบัติการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายและสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ได้เน้นย้ำให้หน่วยปฏิบัติการเชิงรุกและจำกัดเสรี ในการปฏิบัติ และติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดมาลงโทษาตามกฎหมาย และความร่วมมือของพี่น้องประชาชนที่เบื่อหน่ายความรุนแรงและพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุรุนแรงได้ช่วยกันแจ้งเบาะแสนำไปสู่การจับกุม ทั้งนี้ พี่น้องประชาชนได้แสดงความขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุรุนแรงกลุ่มดังกล่าวได้
ผู้ก่อเหตุรุนแรงกลุ่มดังกล่าว เป็นบุคคลตามหมายจับ ป.วิ.อาญา และ หมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จำนวน หลายหมาย เนื่องจากมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ทั้งการลอบยิง และลอบวางระเบิด จำนวนหลายเหตุการณ์ ทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่รัฐ และพี่น้องประชาชน ผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ละเมิดต่อหลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง มาอย่างต่อเนื่อง
พ.อ.ปราโมทย์ กล่าวด้วยว่า การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้ เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก เพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกระบวนการทางกฎหมาย จึงไม่เกิดความสูญเสียขึ้น โดยทุกคนจะได้รับการปฏิบัติในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อย่างเสมอภาคและเป็นธรรม ซึ่งเป็นวิธีที่เจ้าหน้าที่ทุกคนยึดถือ และปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเสมอมา ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะได้รวบรวมหลักฐานเพื่อตรวจสอบสารพันธุกรรม (DNA) รวมทั้งพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และขยายความเชื่อมโยงต่อไป สำหรับอาวุธปืนที่ยึด ได้ทั้ง 5 กระบอก เจ้าหน้าที่จะได้ตรวจสอบแหล่งที่มา และความเชื่อมโยงกับคดีอื่นๆ ต่อไป
อย่างไรก็ตาม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ยังเปิดโอกาสให้ผู้ที่กระทำความผิด และผู้เห็นต่างมาร่วมกันสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยการยุติการ ใช้ความรุนแรง และเข้ารายงานตัวแสดงตนตามโครงการพาคนกลับบ้าน โดยเจ้าหน้าที่พร้อมที่จะให้ความสะดวก ในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ สามารถแจ้งความประสงค์กับผู้นำท้องที่, ผู้นำท้องถิ่น ศูนย์ปฏิบัติการอำเภอ หรือหน่วยเฉพาะกิจประจำพื้นที่ได้ตลอดเวลา
นายอาฟันดี กาพา อายุ 28 ปี บ้านเลขที่ 100 บ้านมะนังดาลำ หมู่ที่ 1 ตำบลมะนังดาลำ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี พฤติกรรมเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ (มือประกอบระเบิด) มีหมายจับ ป.วิ.อาญา จำนวน 2 หมาย เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลอบวางระเบิด และลอบยิงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หลายเหตุการณ์ และนายสุกรี สาแม บ้านเลขที่ 124 หมู่ที่ 6 ตำบลตะบิ้ง อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี พฤติกรรมเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับสั่งการ เกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หลายเหตุการณ์
พร้อมกันนี้ ได้ตรวจยึดอาวุธปืน จำนวน 5 กระบอก ประกอบด้วย ปืนเล็กยาว HK-33 จำนวน 1 กระบอก ปืนพกขนาด 9 มิลลิเมตร จำนวน 2 กระบอก ปืนพกขนาด .38 นิ้ว จำนวน 1 กระบอก ปืนเล็กยาว .22 มิลลิเมตร จำนวน 1 กระบอก และเครื่องกระสุนและอุปกรณ์อื่นๆ จำนวนหลายรายการ นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์ในการประกอบวัตถุระเบิดจำนวนมาก เช่น ถังแก็สขนาดบรรจุ 15 กิโลกรัม จำนวน 1 ถัง ขนาด 5 กิโลกรัม 1 ถัง และอุปกรณ์ประกอบวัตถุระเบิดอีกหลายรายการ รวมทั้งรถจักรยานยนต์พร้อมป้ายทะเบียนปลอม จำนวน 2 คัน
จากกรณีดังกล่าวกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้ชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจว่า ผลสำเร็จจากการปฏิบัติการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายและสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ได้เน้นย้ำให้หน่วยปฏิบัติการเชิงรุกและจำกัดเสรี ในการปฏิบัติ และติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดมาลงโทษาตามกฎหมาย และความร่วมมือของพี่น้องประชาชนที่เบื่อหน่ายความรุนแรงและพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุรุนแรงได้ช่วยกันแจ้งเบาะแสนำไปสู่การจับกุม ทั้งนี้ พี่น้องประชาชนได้แสดงความขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุรุนแรงกลุ่มดังกล่าวได้
ผู้ก่อเหตุรุนแรงกลุ่มดังกล่าว เป็นบุคคลตามหมายจับ ป.วิ.อาญา และ หมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จำนวน หลายหมาย เนื่องจากมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ทั้งการลอบยิง และลอบวางระเบิด จำนวนหลายเหตุการณ์ ทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่รัฐ และพี่น้องประชาชน ผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ละเมิดต่อหลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง มาอย่างต่อเนื่อง
พ.อ.ปราโมทย์ กล่าวด้วยว่า การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้ เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก เพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกระบวนการทางกฎหมาย จึงไม่เกิดความสูญเสียขึ้น โดยทุกคนจะได้รับการปฏิบัติในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อย่างเสมอภาคและเป็นธรรม ซึ่งเป็นวิธีที่เจ้าหน้าที่ทุกคนยึดถือ และปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเสมอมา ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะได้รวบรวมหลักฐานเพื่อตรวจสอบสารพันธุกรรม (DNA) รวมทั้งพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และขยายความเชื่อมโยงต่อไป สำหรับอาวุธปืนที่ยึด ได้ทั้ง 5 กระบอก เจ้าหน้าที่จะได้ตรวจสอบแหล่งที่มา และความเชื่อมโยงกับคดีอื่นๆ ต่อไป
อย่างไรก็ตาม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ยังเปิดโอกาสให้ผู้ที่กระทำความผิด และผู้เห็นต่างมาร่วมกันสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยการยุติการ ใช้ความรุนแรง และเข้ารายงานตัวแสดงตนตามโครงการพาคนกลับบ้าน โดยเจ้าหน้าที่พร้อมที่จะให้ความสะดวก ในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ สามารถแจ้งความประสงค์กับผู้นำท้องที่, ผู้นำท้องถิ่น ศูนย์ปฏิบัติการอำเภอ หรือหน่วยเฉพาะกิจประจำพื้นที่ได้ตลอดเวลา