ผลการศึกษาใหม่ของบริษัทซีเอ เทคโนโลยี ชี้ผู้บริหารระดับCIO ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นมองว่า ไอที มี "ความสำคัญทางยุทธศาสตร์" และ "เป็นพื้นฐานสำคัญ" ทางธุรกิจมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ
โดยมี 89 เปอร์เซ็นต์ ตอบว่า ให้ความสำคัญกับด้านนี้ ในขณะที่ผู้บริหารในยุโรปให้ความสำคัญ 78 เปอร์เซ็นต์ และสหรัฐอเมริกา 51 เปอร์เซ็นต์
ในรายงานที่ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า “TechInsights Report: The Changing Role of IT and What to Do About It” ยังได้ช่วยยืนยันความเห็นของหลายฝ่ายในวงการที่มองว่า หน้าที่ของฝ่ายไอทีกำลังมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในการสนับสนุนงานสายทางธุรกิจ ในขณะที่ยอดการใช้จ่ายไอทีมีการเติบโตในส่วนที่ข้ามสายในส่วนธุรกิจด้านอื่นๆ ของบริษัทด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่า ยอดค่าใช้จ่ายไอทีในตอนนี้มีมากกว่าหนึ่งในสาม หรือ 36 เปอร์เซ็นต์ที่ย้ายไปอยู่กับสายงานธุรกิจอื่น ไม่ได้อยู่กับฝ่ายไอทีโดยตรง ซึ่งตรงนี้แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนว่า งานด้านไอทีหรือเทคโนโลยีในบริษัท กำลังเปลี่ยนผ่านจากยุครวมศูนย์งานระบบไอที มาเป็นผู้ที่ช่วยสนับสนุนงานภาคธุรกิจอื่นๆ ทำให้ต้องมาคิดกันใหม่ว่า ฝ่ายไอทีแต่ละองค์กรจะมีแนวคิดเรื่องจัดซื้อ ติดตั้งและใช้งานอย่างไร โดยคาดการณ์กันต่อว่าภายในสามปีข้างหน้า ยอดค่าใช้จ่ายไอทีที่อยู่ตามสายงานธุรกิจต่างๆ จะเพิ่มขึ้นเป็น 45 เปอร์เซ็นต์
ผลตรงนี้จะกระทบต่อตัวผู้บริหารไอทีอย่างยิ่ง เพราะตอนนี้งานจะเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นผู้ให้คำปรึกษา คำแนะนำกับผู้บริหาร ที่นอกจากจะดูแลงานไอทีแล้วยังเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญและชี้นำยุทธศาสตร์การลงทุนด้านไอทีขององค์กร
ในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจจากผลของซอฟต์แวร์กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว และภาคธุรกิจทุกวันนี้ก็ได้ใช้แอพพลิเคชั่นใหม่ๆ ในการติดต่อกับทั้งพนักงานและลูกค้า และบทบาทของฝ่ายไอทีในบริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วขึ้นไปตามประแสทิศทางนี้เช่นกัน
เคนเนทธ์ อาร์เรนดอนโด ประธานและผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น บริษัทซีเอ เทคโนโลยีออกความเห็นในเรื่องนี้ว่า “เทคโนโลยีและซอฟต์แวร์กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เกิดในบริษัทของภูมิภาคนี้ และสร้างธุรกิจใหม่ๆ ขึ้นมาในแบบพลิกโฉมหน้า และท้าทายแต่ละวงการ”
“ลูกค้าต่างต้องการแอพพลิเคชั่นและประสบการณ์การใช้งานที่ดีในแบบทันเวลาทันใจ ส่วนพนักงานก็ต้องการทูลที่จะสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งธุรกิจ ผลก็คือเราจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างมากในด้านรูปแบบการมองตัวเทคโนโลยี การจัดซื้อ การติดตั้งและใช้งานตามบริษัทแห่งต่างๆ ในภูมิภาคนี้ ฝ่ายไอทีจะต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำงานจากผู้ให้บริการ ไปเป็นที่ปรึกษา ตัวแทนและกุนซือ มิเช่นนั้นก็อาจจะถูกลดบทบาทไปในยุคหน้า ”
คาดกันว่า กระแสการเปลี่ยนแปลงนี้จะดำเนินต่อไปเพราะ 81 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกคิดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงบทบาทของฝ่ายไอทีในองค์กรต่อไปอีกอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีข้างหน้า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ตอบแบบสอบถามจากสหรัฐฯที่มองว่ามีเพียง 42 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ในกระแสที่มองว่าไอทีมีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จทางธุรกิจ รวมทั้งโซลูชั่นด้านไอทีระดับเอนเตอร์ไพร์ซด้านการบริหารจัดการระบบและการรักษาความปลอดภัยมีการใช้ในวงกว้าง ต่อไปรูปแบบของการกระจายจัดสรรงบประมาณด้านไอทีในองค์กรธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
ในปัจจุบัน ผู้ตอบคำถามส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ยังคงใช้งบไอทีมากกว่าครึ่งไปในการบำรุงรักษา ดูแลระบบไอทีให้ทำงานต่อไปได้ แต่คาดกันว่า ภายในสามปีข้างหน้าตัวเลขตรงนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงโดยจะมีการเน้นนวัตกรรมใหม่ๆ มากขึ้นโดยตัวเลขด้านอื่นจะเพิ่มเป็น 60 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่งบดูแลรักษาระบบจะลดสัดส่วนลงมาอยู่ที่ราว 40 เปอร์เซ็นต์
ในอีกด้านนึงนั้น ถ้ามองเฉพาะในภูมิภาคนี้ การเปลี่ยนบทบาทของฝ่ายไอทีที่พูดถึงกันก็ยังคงอยู่ในแค่ขั้นเริ่มต้นเท่านั้น และน่าจะมีช่องทางขยับขยายต่อไปได้อีกมาก ทั้งในเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการเติบโต
การสำรวจนี้ ยังมีข้อมูลหลายด้านที่น่าสนใจ เช่น ประเด็นการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ด้านโปรดักส์หรือเซอร์วิส (13 เปอร์เซ็นต์) และเรื่องการผลักดันการริเริ่มทางธุรกิจใหม่ๆ (21 เปอร์เซ็นต์) นั้นยังไม่ใช่เรื่องที่มีลำดับความสำคัญมากที่สุดในความเห็นของฝ่ายไอทีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนี้ ในทางกลับกัน กลับเป็นเรื่องราวเดิมๆ ในการทำงานของฝ่ายไอทีที่ยังติดอันดับนำอยู่ เช่น การเก็บรักษาข้อมูลสำคัญในองค์กร (45 เปอร์เซ็นต์) ซัพพอร์ตด้านเทคโนโลยีให้กับพนักงานผู้ใช้งาน (38 เปอร์เซ็นต์) และดูแลรักษาระบบไอทีและแอพพลิเคชั่น (36 เปอร์เซ็นต์)
หัวข้อสำคัญอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นได้แก่
74 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น ระบุว่า ผู้บริหารไอทีระดับสูงขององค์กรขึ้นตรงกับ CEO ซึ่งชี้ให้เห็นความสำคัญของไอทีที่มีต่อสายงานธุรกิจอื่นๆ ยิ่งถ้าเป็นในประเทศจีนตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 99 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจัดว่าสูงที่สุดในโลก
ความสัมพันธ์ระหว่างสายงานไอทีและสายงานธุรกิจอื่น กำลังเปลี่ยนไปในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมี 44 เปอร์เซ็นต์ระบุว่า ไอทีมีบทบาทเป็น โบรกเกอร์ด้านงานเซอร์วิส หรือที่ปรึกษาให้กับสายงานธุรกิจอื่นๆ แทนที่จะเป็นผู้ให้บริการในแบบเดิมแต่เพียงอย่างเดิม และยอดการใช้จ่ายไอทีที่อยู่ในสายธุรกิจอื่น จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ผู้นำด้านไอที จำเป็นต้องปรับให้ลงตัวกับธุรกิจให้ความรู้กับฝ่ายบริหารเพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่สำคัญๆ ต่อไป
ผู้ตอบคำถามในภูมิภาคนี้มองว่า คอมพิวเตอร์ระบบคลาวด์ (53 เปอร์เซ็นต์) ระบบโมไบล์(36 เปอร์เซ็นต์) รวมทั้งงานข้อมูลและวิเคราะห์ (33 เปอร์เซ็นต์) คือสามเทรนด์ที่กำลังส่งผลต่อฝ่ายไอทีในปัจจุบัน
มี 52 เปอร์เซ็นต์ บอกว่า ฝ่ายไอทีจะต้องมีการจัดฝึกอบรมในเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ นี้เพิ่มเติม และมี 44 เปอร์เซ็นต์ บอกว่า ไอทีจะต้องปรับให้รู้ทันธุรกิจเพื่อรับรู้ลำดับความสำคัญในการทำงาน
รูปแบบการสำรวจและวิธีวิจัย
บริษัทวิจัย Vanson Bourne ได้ดำเนินการสำรวจ ที่บริษัทซีเอ เทคโนโลยีเป็นผู้สนับสนุน ในการสอบถามผู้บริหารไอทีระดับสูงกว่า 1,300 รายใน 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น (ออสเตรเลีย จีน อินเดีย สิงคโปร์ และเกาหลีใต้) และในอีก 15 ประเทศทั่วโลกในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงกรกฎาคม ปี 2013 โดยผู้ตอบแบบสอบถามในการศึกษาครั้งนี้เป็นผู้มีบทบาทในตำแหน่งผู้บริหารไอที ฝ่ายจัดการ หัวหน้าโปรเจ็กต์ หรือผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมระบบในบริษัทเอนเตอร์ไพร์ซที่มีรายได้ตั้งแต่100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือมากกว่า
โดยมี 89 เปอร์เซ็นต์ ตอบว่า ให้ความสำคัญกับด้านนี้ ในขณะที่ผู้บริหารในยุโรปให้ความสำคัญ 78 เปอร์เซ็นต์ และสหรัฐอเมริกา 51 เปอร์เซ็นต์
ในรายงานที่ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า “TechInsights Report: The Changing Role of IT and What to Do About It” ยังได้ช่วยยืนยันความเห็นของหลายฝ่ายในวงการที่มองว่า หน้าที่ของฝ่ายไอทีกำลังมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในการสนับสนุนงานสายทางธุรกิจ ในขณะที่ยอดการใช้จ่ายไอทีมีการเติบโตในส่วนที่ข้ามสายในส่วนธุรกิจด้านอื่นๆ ของบริษัทด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่า ยอดค่าใช้จ่ายไอทีในตอนนี้มีมากกว่าหนึ่งในสาม หรือ 36 เปอร์เซ็นต์ที่ย้ายไปอยู่กับสายงานธุรกิจอื่น ไม่ได้อยู่กับฝ่ายไอทีโดยตรง ซึ่งตรงนี้แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนว่า งานด้านไอทีหรือเทคโนโลยีในบริษัท กำลังเปลี่ยนผ่านจากยุครวมศูนย์งานระบบไอที มาเป็นผู้ที่ช่วยสนับสนุนงานภาคธุรกิจอื่นๆ ทำให้ต้องมาคิดกันใหม่ว่า ฝ่ายไอทีแต่ละองค์กรจะมีแนวคิดเรื่องจัดซื้อ ติดตั้งและใช้งานอย่างไร โดยคาดการณ์กันต่อว่าภายในสามปีข้างหน้า ยอดค่าใช้จ่ายไอทีที่อยู่ตามสายงานธุรกิจต่างๆ จะเพิ่มขึ้นเป็น 45 เปอร์เซ็นต์
ผลตรงนี้จะกระทบต่อตัวผู้บริหารไอทีอย่างยิ่ง เพราะตอนนี้งานจะเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นผู้ให้คำปรึกษา คำแนะนำกับผู้บริหาร ที่นอกจากจะดูแลงานไอทีแล้วยังเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญและชี้นำยุทธศาสตร์การลงทุนด้านไอทีขององค์กร
ในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจจากผลของซอฟต์แวร์กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว และภาคธุรกิจทุกวันนี้ก็ได้ใช้แอพพลิเคชั่นใหม่ๆ ในการติดต่อกับทั้งพนักงานและลูกค้า และบทบาทของฝ่ายไอทีในบริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วขึ้นไปตามประแสทิศทางนี้เช่นกัน
เคนเนทธ์ อาร์เรนดอนโด ประธานและผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น บริษัทซีเอ เทคโนโลยีออกความเห็นในเรื่องนี้ว่า “เทคโนโลยีและซอฟต์แวร์กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เกิดในบริษัทของภูมิภาคนี้ และสร้างธุรกิจใหม่ๆ ขึ้นมาในแบบพลิกโฉมหน้า และท้าทายแต่ละวงการ”
“ลูกค้าต่างต้องการแอพพลิเคชั่นและประสบการณ์การใช้งานที่ดีในแบบทันเวลาทันใจ ส่วนพนักงานก็ต้องการทูลที่จะสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งธุรกิจ ผลก็คือเราจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างมากในด้านรูปแบบการมองตัวเทคโนโลยี การจัดซื้อ การติดตั้งและใช้งานตามบริษัทแห่งต่างๆ ในภูมิภาคนี้ ฝ่ายไอทีจะต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำงานจากผู้ให้บริการ ไปเป็นที่ปรึกษา ตัวแทนและกุนซือ มิเช่นนั้นก็อาจจะถูกลดบทบาทไปในยุคหน้า ”
คาดกันว่า กระแสการเปลี่ยนแปลงนี้จะดำเนินต่อไปเพราะ 81 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกคิดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงบทบาทของฝ่ายไอทีในองค์กรต่อไปอีกอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีข้างหน้า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ตอบแบบสอบถามจากสหรัฐฯที่มองว่ามีเพียง 42 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ในกระแสที่มองว่าไอทีมีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จทางธุรกิจ รวมทั้งโซลูชั่นด้านไอทีระดับเอนเตอร์ไพร์ซด้านการบริหารจัดการระบบและการรักษาความปลอดภัยมีการใช้ในวงกว้าง ต่อไปรูปแบบของการกระจายจัดสรรงบประมาณด้านไอทีในองค์กรธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
ในปัจจุบัน ผู้ตอบคำถามส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ยังคงใช้งบไอทีมากกว่าครึ่งไปในการบำรุงรักษา ดูแลระบบไอทีให้ทำงานต่อไปได้ แต่คาดกันว่า ภายในสามปีข้างหน้าตัวเลขตรงนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงโดยจะมีการเน้นนวัตกรรมใหม่ๆ มากขึ้นโดยตัวเลขด้านอื่นจะเพิ่มเป็น 60 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่งบดูแลรักษาระบบจะลดสัดส่วนลงมาอยู่ที่ราว 40 เปอร์เซ็นต์
ในอีกด้านนึงนั้น ถ้ามองเฉพาะในภูมิภาคนี้ การเปลี่ยนบทบาทของฝ่ายไอทีที่พูดถึงกันก็ยังคงอยู่ในแค่ขั้นเริ่มต้นเท่านั้น และน่าจะมีช่องทางขยับขยายต่อไปได้อีกมาก ทั้งในเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการเติบโต
การสำรวจนี้ ยังมีข้อมูลหลายด้านที่น่าสนใจ เช่น ประเด็นการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ด้านโปรดักส์หรือเซอร์วิส (13 เปอร์เซ็นต์) และเรื่องการผลักดันการริเริ่มทางธุรกิจใหม่ๆ (21 เปอร์เซ็นต์) นั้นยังไม่ใช่เรื่องที่มีลำดับความสำคัญมากที่สุดในความเห็นของฝ่ายไอทีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนี้ ในทางกลับกัน กลับเป็นเรื่องราวเดิมๆ ในการทำงานของฝ่ายไอทีที่ยังติดอันดับนำอยู่ เช่น การเก็บรักษาข้อมูลสำคัญในองค์กร (45 เปอร์เซ็นต์) ซัพพอร์ตด้านเทคโนโลยีให้กับพนักงานผู้ใช้งาน (38 เปอร์เซ็นต์) และดูแลรักษาระบบไอทีและแอพพลิเคชั่น (36 เปอร์เซ็นต์)
หัวข้อสำคัญอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นได้แก่
74 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น ระบุว่า ผู้บริหารไอทีระดับสูงขององค์กรขึ้นตรงกับ CEO ซึ่งชี้ให้เห็นความสำคัญของไอทีที่มีต่อสายงานธุรกิจอื่นๆ ยิ่งถ้าเป็นในประเทศจีนตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 99 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจัดว่าสูงที่สุดในโลก
ความสัมพันธ์ระหว่างสายงานไอทีและสายงานธุรกิจอื่น กำลังเปลี่ยนไปในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมี 44 เปอร์เซ็นต์ระบุว่า ไอทีมีบทบาทเป็น โบรกเกอร์ด้านงานเซอร์วิส หรือที่ปรึกษาให้กับสายงานธุรกิจอื่นๆ แทนที่จะเป็นผู้ให้บริการในแบบเดิมแต่เพียงอย่างเดิม และยอดการใช้จ่ายไอทีที่อยู่ในสายธุรกิจอื่น จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ผู้นำด้านไอที จำเป็นต้องปรับให้ลงตัวกับธุรกิจให้ความรู้กับฝ่ายบริหารเพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่สำคัญๆ ต่อไป
ผู้ตอบคำถามในภูมิภาคนี้มองว่า คอมพิวเตอร์ระบบคลาวด์ (53 เปอร์เซ็นต์) ระบบโมไบล์(36 เปอร์เซ็นต์) รวมทั้งงานข้อมูลและวิเคราะห์ (33 เปอร์เซ็นต์) คือสามเทรนด์ที่กำลังส่งผลต่อฝ่ายไอทีในปัจจุบัน
มี 52 เปอร์เซ็นต์ บอกว่า ฝ่ายไอทีจะต้องมีการจัดฝึกอบรมในเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ นี้เพิ่มเติม และมี 44 เปอร์เซ็นต์ บอกว่า ไอทีจะต้องปรับให้รู้ทันธุรกิจเพื่อรับรู้ลำดับความสำคัญในการทำงาน
รูปแบบการสำรวจและวิธีวิจัย
บริษัทวิจัย Vanson Bourne ได้ดำเนินการสำรวจ ที่บริษัทซีเอ เทคโนโลยีเป็นผู้สนับสนุน ในการสอบถามผู้บริหารไอทีระดับสูงกว่า 1,300 รายใน 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น (ออสเตรเลีย จีน อินเดีย สิงคโปร์ และเกาหลีใต้) และในอีก 15 ประเทศทั่วโลกในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงกรกฎาคม ปี 2013 โดยผู้ตอบแบบสอบถามในการศึกษาครั้งนี้เป็นผู้มีบทบาทในตำแหน่งผู้บริหารไอที ฝ่ายจัดการ หัวหน้าโปรเจ็กต์ หรือผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมระบบในบริษัทเอนเตอร์ไพร์ซที่มีรายได้ตั้งแต่100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือมากกว่า