นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ "เฟซบุ๊ก" เช้านี้(4 มิ.ย.) ถึงแนวทางแก้ไขให้ประชาชนในประเทศมีโอกาสบริโภคพลังงานในราคาที่เป็นธรรมในหัวข้อ"2 ด้านของเหรียญที่ต้องอยู่คู่กัน"ว่า
การลงทุนภาครัฐโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน กับการปฏิรูปพลังงาน คิดให้ดีแล้วเป็น 2 ด้านของเหรียญที่ต้องอยู่คู่กัน การลงทุนตัองใช้เงินมหาศาลในขณะที่สถานการณ์ไม่เอื้อต่อการเก็บภาษีเพิ่มแต่จะใช้เงินกู้ก็มีกรอบวินัยการเงินการคลังกำหนดเพดานไว้ ในขณะที่การปฏิรูปพลังงานตั้งแต่ต้นทางคือเปลี่ยนระบบการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลี่ยมในบ้านเราจากระบบสัมปทานเป็นระบบแบ่งปันผลกำไรหรือ profit sharing จะทำให้ประเทศมีรายได้มากขึ้นพอมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยยังไม่ต้องเก็บภาษีเพิ่มและไม่ต้องพึ่งเงินกู้อย่างเดียว
สมมติว่าได้ส่วนแบ่งเพิ่มมากขึ้นแค่ปีละ 1 แสนล้านบาทก็พอทำอะไรได้ไม่น้อยแล้ว
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงผลที่ตามมาอีกว่าประชาชนในประเทศมีโอกาสบริโภคพลังงานในราคาที่เป็นธรรมด้วย
ระบบสัมปทานปิโตรเลี่ยมในประเทศไทยที่มีมาตั้งแต่ปี 2514 โดยใช้พ.ร.บ.ปิโตรเลี่ยม พ.ศ. 2514 ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้น้ำมันดิบที่ขุดขึ้นมาได้มีโอกาสใช้ในประเทศเลย เพราะบัญญัติไว้ในมาตรา 64(2) ว่า
"ให้ผู้รับสัมปทานได้รับหลักประกันว่า...รัฐจะไม่จำกัดการส่งปิโตรเลี่ยมออกนอกราชอาณาจักร..."
43 ปีผ่านไป หลักการนี้ยังไม่เคยเปลี่ยน โดยเฉพาะกับผู้รับสัมปทานรุ่นแรกตามระบบ "THAILAND 1" ที่จะยังมีอายุสัมปทานเหลืออยู่(บวกต่ออายุ)ถึงปี 2566
นอกจากให้สิทธิผู้รับสัมปทานส่งออกน้ำมันดิบที่ขุดขึ้นมาได้โดยไม่จำกัดแล้ว พ.ร.บ.ปิโตรเลี่ยมยังระบุไว้ในมาตรา 57 (1) และ (2) ว่าหากจะขายน้ำมันดิบภายในราชอาณาจักรก็ให้ขายในราคาตลาดโลก ดังนี้
"ในกรณีที่ยังไม่มีผู้รับสัมปทานส่งน้ำมันดิบที่ผลิตได้ออกนอกราชอาณาจักรเป็นประจำ ให้ขายไม่เกินราคาน้ำมันดิบที่สั่งซื้อจากต่างประเทศส่งถึงโรงกลั่นน้ำมันภายในราชอาณาจักร" - มาตรา 57(1)
"ในกรณีที่มีผู้รับสัมปทานส่งน้ำมันดิบที่ผลิตได้ออกนอกราชอาณาจักรเป็นประจำ ให้ขายไม่เกินราคาเฉลี่ยที่ได้รับจริงสำหรับน้ำมันดิบที่ผู้รับสัมปทานทุกรายส่งออกนอกราชอาณาจักรในเดือนปฏิทินที่แล้วมา..." - มาตรา 57(2)
กฎหมายเขียนเพื่อประโยชน์ผู้รับสัมปทานเพื่อการส่งออกจริง ๆ เพราะจะมีกรณีเดียวที่การขายในราชอาณาจักรจะถูกลง ก็ต่อเมื่อเกิดเงื่อนไขตามมาตรา 57(3) คือน้ำมันดิบที่ผลิตได้ในประเทศมีปริมาณ 10 เท่าขึ้นไปของความต้องการใช้ในราชอาณาจักรเท่านั้น
ก่อนจะเปิดสัมปทานรอบที่ 21 หลักการนี้จึงควรได้รับการทบทวน
การลงทุนภาครัฐโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน กับการปฏิรูปพลังงาน คิดให้ดีแล้วเป็น 2 ด้านของเหรียญที่ต้องอยู่คู่กัน การลงทุนตัองใช้เงินมหาศาลในขณะที่สถานการณ์ไม่เอื้อต่อการเก็บภาษีเพิ่มแต่จะใช้เงินกู้ก็มีกรอบวินัยการเงินการคลังกำหนดเพดานไว้ ในขณะที่การปฏิรูปพลังงานตั้งแต่ต้นทางคือเปลี่ยนระบบการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลี่ยมในบ้านเราจากระบบสัมปทานเป็นระบบแบ่งปันผลกำไรหรือ profit sharing จะทำให้ประเทศมีรายได้มากขึ้นพอมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยยังไม่ต้องเก็บภาษีเพิ่มและไม่ต้องพึ่งเงินกู้อย่างเดียว
สมมติว่าได้ส่วนแบ่งเพิ่มมากขึ้นแค่ปีละ 1 แสนล้านบาทก็พอทำอะไรได้ไม่น้อยแล้ว
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงผลที่ตามมาอีกว่าประชาชนในประเทศมีโอกาสบริโภคพลังงานในราคาที่เป็นธรรมด้วย
ระบบสัมปทานปิโตรเลี่ยมในประเทศไทยที่มีมาตั้งแต่ปี 2514 โดยใช้พ.ร.บ.ปิโตรเลี่ยม พ.ศ. 2514 ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้น้ำมันดิบที่ขุดขึ้นมาได้มีโอกาสใช้ในประเทศเลย เพราะบัญญัติไว้ในมาตรา 64(2) ว่า
"ให้ผู้รับสัมปทานได้รับหลักประกันว่า...รัฐจะไม่จำกัดการส่งปิโตรเลี่ยมออกนอกราชอาณาจักร..."
43 ปีผ่านไป หลักการนี้ยังไม่เคยเปลี่ยน โดยเฉพาะกับผู้รับสัมปทานรุ่นแรกตามระบบ "THAILAND 1" ที่จะยังมีอายุสัมปทานเหลืออยู่(บวกต่ออายุ)ถึงปี 2566
นอกจากให้สิทธิผู้รับสัมปทานส่งออกน้ำมันดิบที่ขุดขึ้นมาได้โดยไม่จำกัดแล้ว พ.ร.บ.ปิโตรเลี่ยมยังระบุไว้ในมาตรา 57 (1) และ (2) ว่าหากจะขายน้ำมันดิบภายในราชอาณาจักรก็ให้ขายในราคาตลาดโลก ดังนี้
"ในกรณีที่ยังไม่มีผู้รับสัมปทานส่งน้ำมันดิบที่ผลิตได้ออกนอกราชอาณาจักรเป็นประจำ ให้ขายไม่เกินราคาน้ำมันดิบที่สั่งซื้อจากต่างประเทศส่งถึงโรงกลั่นน้ำมันภายในราชอาณาจักร" - มาตรา 57(1)
"ในกรณีที่มีผู้รับสัมปทานส่งน้ำมันดิบที่ผลิตได้ออกนอกราชอาณาจักรเป็นประจำ ให้ขายไม่เกินราคาเฉลี่ยที่ได้รับจริงสำหรับน้ำมันดิบที่ผู้รับสัมปทานทุกรายส่งออกนอกราชอาณาจักรในเดือนปฏิทินที่แล้วมา..." - มาตรา 57(2)
กฎหมายเขียนเพื่อประโยชน์ผู้รับสัมปทานเพื่อการส่งออกจริง ๆ เพราะจะมีกรณีเดียวที่การขายในราชอาณาจักรจะถูกลง ก็ต่อเมื่อเกิดเงื่อนไขตามมาตรา 57(3) คือน้ำมันดิบที่ผลิตได้ในประเทศมีปริมาณ 10 เท่าขึ้นไปของความต้องการใช้ในราชอาณาจักรเท่านั้น
ก่อนจะเปิดสัมปทานรอบที่ 21 หลักการนี้จึงควรได้รับการทบทวน