แหล่งข่าววงในเผย “เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์” เล็งขายหุ้น “ชิน คอร์ป” มูลค่า 3,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้ “สิงคโปร์ เทเลคอม” หรือ “สิงเทล” อันเป็นกิจการในเครือ ตามแผนการซึ่งจะรวมทรัพย์สินด้านโทรคมนาคมให้อยู่ในที่เดียวกัน อีกทั้งทำให้ บริษัทลูกรายนี้ยิ่งผงาดในฐานะกิจการยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมนี้ของภูมิภาค โดยที่มีการหารือกันเรื่องนี้มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่มีอันต้องสะดุดลงจากสถานการณ์การเมืองในไทย
สำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า ได้ทราบเรื่องนี้จากแหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์ให้ออกนามเนื่องจากเป็นข้อมูลวงในที่ยังไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณชน ขณะที่พวกนักวิเคราะห์ชี้ว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าว น่าจะเป็นไปตามแผนการของเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ กิจการการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ที่บริหารทรัพย์สินกว่า 170,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งต้องการจัดบริษัทต่างๆ ในพอร์ตลงทุนที่อยู่อุตสาหกรรมเดียวกันให้เข้าเป็นกลุ่มกิจการเดียวกัน ทั้งนี้ เทมาเส็ก ถือหุ้นชิน คอร์ป โดยผ่านบริษัทในเครือรายหนึ่ง อยู่ 41.6% และการเอาชิน คอร์ป ไปอยู่กับสิงเทลเต็มตัว ถือเป็นก้าวแรกในการรวมศูนย์พอร์ตกิจการด้านโทรคมนาคม อีกทั้งเป็นโอกาสที่จะทำให้สิงคโปร์ เทเลคอม กลายเป็นยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมนี้ในภูมิภาค
หุ้นที่เทมาเส็กมีอยู่ในชิน คอร์ป บริษัทซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร นั้น คิดเป็นมูลค่าตลาดปัจจุบันจะอยู่ที่ 3,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ราคาหุ้นชิน คอร์ปขณะนี้ ซื้อขายกันในระดับราคาสูงกว่าตอนที่เทมาเส็กซื้อมาเมื่อปี 2006 ประมาณกว่า 50% โดยในครั้งนั้นเทมาเส็กซื้อผ่านกิจการร่วมค้าที่ตนเองเป็นผู้นำ และมี สุรินทร์ อุพัทธกุล นักธุรกิจไทยเชื้อสายจีน รวมอยู่ด้วย โดยซื้อหุ้นชิน คอร์ป มาทั้งหมด 96% ในราคา 3,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ชิน คอร์ป นั้น ปัจจุบันถือหุ้นในแอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส (เอไอเอส) บริษัทโทรคมนาคมใหญ่สุดในไทย ในสัดส่วน 40.5% ขณะที่สิงเทลก็ถือหุ้นเอไอเอสอยู่แล้ว 23% ดังนั้น หากซื้อชินคอร์ป ทางสิงเทลก็จะมีสถานะมั่นคงยิ่งขึ้นในตลาดไทย และสามารถใช้เป็นตัวชดเชยภาวะการเติบโตชะลอตัวในพวกตลาดที่อิ่มตัวแล้วอย่างเช่น ออสเตรเลีย
คริส เลน นักวิเคราะห์ตลาดโทรคมนาคมเอเชีย-แปซิฟิกของแซนฟอร์ด ซี. เบิร์นสไตน์ ในฮ่องกง ระบุว่า ผู้บริหารสิงเทลมีส่วนร่วมในการดำเนินงานแบบวันต่อวันของเอไอเอสอยู่แล้วในขณะนี้ และการซื้อหุ้นชิน คอร์ปจากเทมาเส็ก คือการป้องกันความเป็นไปได้ที่อาจมีบริษัทโทรคมนาคมรายอื่นๆ เข้าไปถือหุ้นจำนวนมากในเอไอเอส
สำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า ได้ทราบเรื่องนี้จากแหล่งข่าวที่ไม่ประสงค์ให้ออกนามเนื่องจากเป็นข้อมูลวงในที่ยังไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณชน ขณะที่พวกนักวิเคราะห์ชี้ว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าว น่าจะเป็นไปตามแผนการของเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ กิจการการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ที่บริหารทรัพย์สินกว่า 170,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งต้องการจัดบริษัทต่างๆ ในพอร์ตลงทุนที่อยู่อุตสาหกรรมเดียวกันให้เข้าเป็นกลุ่มกิจการเดียวกัน ทั้งนี้ เทมาเส็ก ถือหุ้นชิน คอร์ป โดยผ่านบริษัทในเครือรายหนึ่ง อยู่ 41.6% และการเอาชิน คอร์ป ไปอยู่กับสิงเทลเต็มตัว ถือเป็นก้าวแรกในการรวมศูนย์พอร์ตกิจการด้านโทรคมนาคม อีกทั้งเป็นโอกาสที่จะทำให้สิงคโปร์ เทเลคอม กลายเป็นยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมนี้ในภูมิภาค
หุ้นที่เทมาเส็กมีอยู่ในชิน คอร์ป บริษัทซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร นั้น คิดเป็นมูลค่าตลาดปัจจุบันจะอยู่ที่ 3,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ราคาหุ้นชิน คอร์ปขณะนี้ ซื้อขายกันในระดับราคาสูงกว่าตอนที่เทมาเส็กซื้อมาเมื่อปี 2006 ประมาณกว่า 50% โดยในครั้งนั้นเทมาเส็กซื้อผ่านกิจการร่วมค้าที่ตนเองเป็นผู้นำ และมี สุรินทร์ อุพัทธกุล นักธุรกิจไทยเชื้อสายจีน รวมอยู่ด้วย โดยซื้อหุ้นชิน คอร์ป มาทั้งหมด 96% ในราคา 3,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ชิน คอร์ป นั้น ปัจจุบันถือหุ้นในแอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส (เอไอเอส) บริษัทโทรคมนาคมใหญ่สุดในไทย ในสัดส่วน 40.5% ขณะที่สิงเทลก็ถือหุ้นเอไอเอสอยู่แล้ว 23% ดังนั้น หากซื้อชินคอร์ป ทางสิงเทลก็จะมีสถานะมั่นคงยิ่งขึ้นในตลาดไทย และสามารถใช้เป็นตัวชดเชยภาวะการเติบโตชะลอตัวในพวกตลาดที่อิ่มตัวแล้วอย่างเช่น ออสเตรเลีย
คริส เลน นักวิเคราะห์ตลาดโทรคมนาคมเอเชีย-แปซิฟิกของแซนฟอร์ด ซี. เบิร์นสไตน์ ในฮ่องกง ระบุว่า ผู้บริหารสิงเทลมีส่วนร่วมในการดำเนินงานแบบวันต่อวันของเอไอเอสอยู่แล้วในขณะนี้ และการซื้อหุ้นชิน คอร์ปจากเทมาเส็ก คือการป้องกันความเป็นไปได้ที่อาจมีบริษัทโทรคมนาคมรายอื่นๆ เข้าไปถือหุ้นจำนวนมากในเอไอเอส