ที่ห้องพิจารณาคดี 913 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ที่ พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ อดีตผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอไอ และนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฟ้องเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2555
สำหรับความผิดระบุว่า ระหว่างวันที่ 30 มีนาคม - 8 ตุลาคม 2555 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1 ในฐานะอธิบดีดีเอสไอ และจำเลยที่ 2 ในฐานะรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยการทำหนังสือโยกย้ายโจทก์ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะคดี ซึ่งมีระดับต่ำกว่าเดิม อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงขอให้ศาลออกหมายเรียกจำเลยมาแก้ต่างคดี และพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ และเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เกี่ยวพันกัน
คดีนี้ หลังจากที่ศาลาอาญาได้ไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ ทั้งการสืบพยาน และตรวจเอกสารต่างๆ แล้วเห็นว่าไม่มีมูลเพียงพอให้ยกฟ้อง และโจทก์ ได้ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลอาญารับฟ้องคดีด้วย ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์จากคำเบิกความและพยานหลักฐานโจทก์แล้ว เห็นว่ามีมูลเพียงพอ จึงพิพากษากลับ ให้ศาลอาญาประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณาเป็นคดีดำ หมายเลข อ.3873/55 พร้อมนัดสอบคำให้การจำเลยทั้งสอง และตรวจพยานหลักฐานทั้งสองฝ่าย ในวันที่ 31 มีนาคม 2557 เวลา 09.00 น.
สำหรับความผิดระบุว่า ระหว่างวันที่ 30 มีนาคม - 8 ตุลาคม 2555 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1 ในฐานะอธิบดีดีเอสไอ และจำเลยที่ 2 ในฐานะรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยการทำหนังสือโยกย้ายโจทก์ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะคดี ซึ่งมีระดับต่ำกว่าเดิม อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงขอให้ศาลออกหมายเรียกจำเลยมาแก้ต่างคดี และพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ และเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เกี่ยวพันกัน
คดีนี้ หลังจากที่ศาลาอาญาได้ไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ ทั้งการสืบพยาน และตรวจเอกสารต่างๆ แล้วเห็นว่าไม่มีมูลเพียงพอให้ยกฟ้อง และโจทก์ ได้ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลอาญารับฟ้องคดีด้วย ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์จากคำเบิกความและพยานหลักฐานโจทก์แล้ว เห็นว่ามีมูลเพียงพอ จึงพิพากษากลับ ให้ศาลอาญาประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณาเป็นคดีดำ หมายเลข อ.3873/55 พร้อมนัดสอบคำให้การจำเลยทั้งสอง และตรวจพยานหลักฐานทั้งสองฝ่าย ในวันที่ 31 มีนาคม 2557 เวลา 09.00 น.