นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า คลังต้องปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบเพื่อรองรับรายจ่ายของประเทศที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการเก็บภาษีจากฐานรายได้จะลดน้อยลง ทั้งจากการเก็บภาษีนิติบุคคล และ บุคคลธรรมดา ซึ่งที่ผ่านมามีการลดอัตราภาษีลง
สำหรับภาษีที่ต้องเก็บเพิ่มขึ้นต้องมาจากฐานการใช้จ่าย ทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีสรรพสามิต โดยภาษีภาษีมูลค่าเพิ่มปัจจุบันเก็บที่อัตรา 7 เปอร์เซ็นต์ จากเพดานทำกำหนดไว้ 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการเพิ่มขึ้นทุก 1 เปอร์เซ็นต์ จะทำให้เก็บภาษีเพิ่มขึ้น 5 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มต้องทำให้ภาวะที่เศรษฐกิจขยายตัวได้ดี ซึ่งคาดว่าอีก 3-4 ปี ข้างหน้า
นอกจากนี้ ต้องเพิ่มการเก็บภาษีจากทรัพย์สิน คือ การเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจะมีการดำเนินการเก็บในส่วนของที่ดินที่รกร้างว่างเปล่าไม่ได้ประโยชน์ก่อน เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้ที่อยู่อาศัย
สำหรับภาษีที่ต้องเก็บเพิ่มขึ้นต้องมาจากฐานการใช้จ่าย ทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีสรรพสามิต โดยภาษีภาษีมูลค่าเพิ่มปัจจุบันเก็บที่อัตรา 7 เปอร์เซ็นต์ จากเพดานทำกำหนดไว้ 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการเพิ่มขึ้นทุก 1 เปอร์เซ็นต์ จะทำให้เก็บภาษีเพิ่มขึ้น 5 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มต้องทำให้ภาวะที่เศรษฐกิจขยายตัวได้ดี ซึ่งคาดว่าอีก 3-4 ปี ข้างหน้า
นอกจากนี้ ต้องเพิ่มการเก็บภาษีจากทรัพย์สิน คือ การเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจะมีการดำเนินการเก็บในส่วนของที่ดินที่รกร้างว่างเปล่าไม่ได้ประโยชน์ก่อน เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้ที่อยู่อาศัย