การประชุมวุฒิสภา วันนี้ (21 ต.ค.) เริ่มเวลา 09.45 น. มีนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยก่อนเข้าสู่วาระการพิจารณาผลการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 23 สิงหาคม 2554 - 23 สิงหาคม 2555 หรือการแถลงผลงานรัฐบาลครบรอบ 1 ปี ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ประธานได้เปิดโอกาสให้สมาชิกหารือ ซึ่งส่วนใหญ่หยิบยกสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันเข้าหารือ โดยเฉพาะกรณีการยกร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมของคณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ซึ่งจะนิรโทษกรรมให้กับบุคคลทุกกลุ่ม ทุกสี โดย น.พ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา เห็นว่าการนำร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร จะยิ่งทำให้สถานการณ์การเมืองร้อนแรง เพราะเนื้อหาในการยกร่างครั้งนี้ เน้นนิรโทษกรรมให้กับผู้ที่กระทำความผิด และมุ่งช่วยเหลือคนเพียงไม่กี่คน จึงอยากเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลงมาแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน และหากแก้ไม่ได้ก็ขอให้ยุบสภา หรือลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบทันที
นอกจากนี้ สมาชิกวุฒิสภาหลายคน เช่น นายประสงค์ นุรักษ์ และนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ได้แสดงความเป็นห่วงกรณีการตัดสินคดีปราสาทพระวิหารของศาลโลกในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ โดยเห็นว่ารัฐบาลยังไม่ได้ให้ข้อมูลที่ชัดเจนกับประชาชน เพื่อรับรู้และทำความเข้าใจถึงผลการตัดสินที่อาจจะออกมาในวันดังกล่าว และไม่เห็นด้วยที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเร่งตั้งคณะกรรมการร่วมสองประเทศ เพื่อมาปรึกษาคำพิพากษาครั้งนี้ แต่ควรตั้งคณะกรรมการเฉพาะฝ่ายไทยเท่านั้น และเห็นควรทำประชามติรับฟังความเห็นของประชาชน
จากนั้น ที่ประชุมได้เข้าสู่การพิจารณาผลงานรัฐบาลครบรอบ 1 ปี โดยมีสาระสำคัญใน 2 ส่วน คือ ผลการดำเนินนโยบายเร่งด่วน และนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ทั้งการสร้างความปรองดอง การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ และกลุ่มโครงการต่างๆ เช่น โครงการรถยนต์คันแรก บัตรเครดิตพลังงาน โครงการรับจำนำข้าว และการปรับโครงสร้างรายได้ โดยมีสมาชิกวุฒิสภาแสดงความประสงค์อภิปรายจำนวน 65 คน ทั้งนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเวลาประมาณ 22.00 น.
นอกจากนี้ สมาชิกวุฒิสภาหลายคน เช่น นายประสงค์ นุรักษ์ และนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ได้แสดงความเป็นห่วงกรณีการตัดสินคดีปราสาทพระวิหารของศาลโลกในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ โดยเห็นว่ารัฐบาลยังไม่ได้ให้ข้อมูลที่ชัดเจนกับประชาชน เพื่อรับรู้และทำความเข้าใจถึงผลการตัดสินที่อาจจะออกมาในวันดังกล่าว และไม่เห็นด้วยที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเร่งตั้งคณะกรรมการร่วมสองประเทศ เพื่อมาปรึกษาคำพิพากษาครั้งนี้ แต่ควรตั้งคณะกรรมการเฉพาะฝ่ายไทยเท่านั้น และเห็นควรทำประชามติรับฟังความเห็นของประชาชน
จากนั้น ที่ประชุมได้เข้าสู่การพิจารณาผลงานรัฐบาลครบรอบ 1 ปี โดยมีสาระสำคัญใน 2 ส่วน คือ ผลการดำเนินนโยบายเร่งด่วน และนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ทั้งการสร้างความปรองดอง การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ และกลุ่มโครงการต่างๆ เช่น โครงการรถยนต์คันแรก บัตรเครดิตพลังงาน โครงการรับจำนำข้าว และการปรับโครงสร้างรายได้ โดยมีสมาชิกวุฒิสภาแสดงความประสงค์อภิปรายจำนวน 65 คน ทั้งนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเวลาประมาณ 22.00 น.